วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ความคิดที่ทำลายสมอง



 
1.โกหกเป็นประจำ
การ โกหกเป็นประจำทำให้สมองต้องทำงานหนักกว่าปกติ จริงๆ แล้วสมองของคนเรายิ่งทำงานหนักก็ยิ่งดี
และมีข้อมูลจากการศึกษาทดลองทั้งกับสัตว์ทดลองและกับมนุษย์เองโดยตรงที่สนับสนุนเรื่องนี้
แต่การทำงานหนักของสมองมีอยู่ 2 อย่างคือ
หนึ่ง : ทำงานหนักในด้านดี ด้านสร้างสรรค์
และสอง : ทำงานหนักในด้านไม่ดี ไม่สร้างสรรค์
เฉพาะการใช้สมองทำงานหนักในด้านสร้างสรรค์เท่านั้น จึงจะทำให้สมองมีประสิทธิภาพดียิ่งๆ ขึ้นไป

แต่คนโกหกเป็นประจำ สมองต้องทำงานหนักเป็นพิเศษในการที่จะต้องพยายามจำสิ่งที่ได้โกหกเอาไว้
และก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนของการใช้สมองทำงานหนักอย่างไม่สร้างสรรค์
การโกหกเป็นประจำจึงเป็นวิธีหนึ่งที่แน่นอน ทำลายประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

2. คิดในทางไม่ถูกต้อง การใช้สมองคิดในทางที่ไม่ถูกต้อง
เป็นอีกวิธีหนึ่งของการทำลายประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้อย่างแน่ชัด
การคิดในทางที่ไม่ถูกต้อง คือ ผิดทำนองคลองธรรม ผิดกระบวนการ ผิดจริยธรรม ผิดจรรยาบรรณ ผิดกฎหมาย
ตัวอย่างเช่น การคิดหาทางร่ำรวยทางลัด การเจริญก้าวหน้าในด้านอาชีพโดยวิธีการทางลัด โดยทุกวิถีทาง
ไม่ว่าจะเป็นการคดโกง การประจบผู้บังคับบัญชา การวางแผนทำลายเพื่อนร่วมงาน
เพื่อตนเองจะได้รับตำแหน่งแทน การคิดหาช่องทางกอบโกยผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่ เช่น การคอร์รัปชัน
การแสวงหาผลประโยชน์ทับซ้อน โดยวิธีการที่แยบยล หรือผิดกฎหมาย ผิดประเพณีปฏิบัติที่ดีงาม โดยที่ไม่ต้อง
ได้รับการลงโทษ เหล่านี้เป็นวิธีที่แน่นอนอีกวิธีหนึ่งในการทำลายประสิทธิภาพการทำงานของ สมอง

3. หมกมุ่นอบายมุข
การคิดหมกมุ่นอยู่กับอบายมุข เช่น การพนัน คลั่งหวย ฯลฯ ทำให้สมองต้องทำงานหนักทั้งเวลาตื่นและหลับ
เพราะเวลาตื่นก็จะหมกมุ่นหาแต่อาจารย์เด็ด เลขเด็ด ตีความหมายของการฝันให้เป็นตัวเลข
เวลาหลับก็จะฝันแต่เรื่องเป็นตัวเลข พบเห็นสิ่งผิดปกติในธรรมชาติก็จะคิดเป็นตัวเลข
การหมกมุ่นกับอบายมุขทำลายทั้งประสิทธิภาพการทำงานของสมองและคุณภาพชีวิต

4. (เจ้า) คิด (เจ้า) แค้น
คน เจ้าคิดเจ้าแค้นเป็นประจำจะมีสภาพเป็นคนหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ไม่เป็นมงคล
สมองจะถูกทำลายเสมือนหนึ่งถูกอาบด้วยยาพิษเป็นประจำ ก็จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลในการทำลายสมอง

5. เครียด ฟุ้งซ่าน
ความ เครียด ความฟุ้งซ่าน ทำให้สมองต้องทำงานหนักอย่างผิดทาง
ทำให้สมองหลั่งสารหรือขาดสารบางอย่างที่หล่อเลี้ยงและกระตุ้นให้สมองได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
เกิดอาการซึมเศร้าหรือฟุ้งซ่านอย่างหนัก ถึงขั้นขาดสติยั้งคิดทำร้ายตนเองหรือฆ่าตัวตาย

6. ไม่ยอมคิด
ตรงกันข้ามกับคนที่คิดมากอย่างผิดทาง ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงอย่างหนัก ก็คือ
คนที่ไม่ยอมคิดอะไรเป็นพิเศษขึ้นมาเลย นอกเหนือไปจากการคิดเพื่อชีวิตอยู่ไปวันๆ เช่น การกินอาหาร
การทำงานตามหน้าที่อย่างเคร่งครัดเท่านั้น เผินๆ อาจดูคล้ายผู้บรรลุในสัจจะแห่งชีวิตและธรรมแบบ "เต๋า"
แต่...ความว่างเปล่าของสมองแตกต่างอย่างมากกับผู้บรรลุแบบ "เต๋า"


ยังมีอีกหรือไม่ วิธีทำลายประสิทธิภาพการทำงานของสมอง?
คำตอบคือ มี!
แต่ 6 วิธีที่กล่าวถึงนี้ เป็นวิธีที่ต้องระวังกันมากที่สุด!




ข้อมูลจาก โพสต์ทูเดย์
อ้างอิงจากเว็บ http://blog.eduzones.com/racchachoengsao/36181
อ้างอิงรูปประกอบ http://www.loveeducation.net/knowledge.aspx?id=00319

10 พฤติกรรมที่ทำลายสมอง

                    วันนี้มี 10 พฤติกรรม ที่เป็นการทำลายสมองของเรามาฝากให้ได้อ่านกันค่ะ ถ้าอ่านแล้วพบว่าข้อไหนตรงกับพฤติกรรมของเราแล้วหล่ะก็ เลิกทำนะค่ะ งั้นเรามาดูกันเลยค่ะว่าพฤติกรรมใดบ้างที่เสี่ยงทำให้สมองของเราเป็นอันตรายค่ะ

                    1. ไม่ทานอาหารเช้า จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ นี่จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม

                    2. กินอาหารมากเกินไป จะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น

                    3. สูบบุหรี่ สาเหตุที่ทำให้เป็นโรคสมองฝ่อและโรคอัลไซเมอร์

                   4. ทานของหวานมากเกินไป ไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารเป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง

                   5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง

                   6. อดนอนเป็นเวลานาน จะทำให้เซลล์สมองตายได้ เพราะการนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน

                   7. นอนคลุมโปง ไปเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น ลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพ การทำงานของสมอง

                   8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว

                   9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ

                   10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง

                    เป็นไงค่ะทั้ง 10 ข้อที่อ่านมาไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมค่ะว่า พฤติกรรมแบบนี้จะทำลายสมองของเราได้ ดังนั้น เรามาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกันเถอะค่ะ เพื่อสมองที่ดีจะอยู่กับเราไปอีกนาน ๆ

ฝ่ายบริหารทั่วไป สำนักกฎหมาย




 7 กลุ่มอาหารสร้างพลังสมอง



     หลังกำเนิดจำนวนของเซลล์สมองนั้นจะสามารถเพิ่มขึ้นได้แต่ไม่มากนัก แต่เซลล์สมองสามารถสร้างและพัฒนาเครือข่ายได้อย่างมีศักยภาพมากที่สุดในช่วง 3 ขวบปีแรก ผ่านการส่งเสริมให้เส้นใยที่ส่งข้อมูลในสมองแตกกิ่งก้านสาขาเพิ่มขึ้น ผ่านการสร้างประสบการณ์ ในขณะที่ส่วนของสมองที่เป็นเปลือกหุ้มเส้นใยสมอง หรือ นวมสมองที่เป็นตัวเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้สามารถสร้างเพิ่มขึ้นได้จากอาหารและการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ๆ

อาหารจึงมีบทบบาทสำคัญในการสร้างความฉลาดให้สมอง ดังนั้นจึงแนะนำให้เด็กรับประทานอาหารที่ดีมีคุณภาพ และรับประทานให้หลากหลายโดยใช้หลักการของทฤษฎี 7 กลุ่มอาหาร จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหลักการทางโภชนาการที่ช่วยให้เกิดการรับประทานอาหารที่หลากหลาย เพื่อช่วยเสริมสร้างไอคิวลูกได้จริงในชีวิตประจำวัน ซึ่งทฤษฏี 7 กลุ่มอาหารนี้ เป็นการบอกพื้นฐานทางโภชนาการที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน โดยแนะนำให้ทานอาหาร 7 ชนิดในหนึ่งวัน เป็นทฤษฎีจากสหรัฐอเมริกาที่ปฏิบัติตามได้ง่ายเหมาะกับยุคสมัย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน สมดุล เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีตามไปด้วยนั่นเองค่ะ


7 กลุ่มอาหารสร้างพลังสมอง อย่าลืมรับประทานให้ครบกลุ่มทุกวันนะคะเห็นประโยชน์ของ 7 กลุ่มอาหารมากขนาดนี้ มารู้จักทฤษฎี 7 กลุ่มอาหารว่าประกอบไปด้วยอะไรบ้างกันเถอะค่ะ

กลุ่มที่ 1 ธัญพืช คาร์โบไฮเดรตจากข้าว แป้ง ผลิตภัณฑ์ข้าวแป้ง ธัญพืชที่ไม่ขัดสี

กลุ่มที่ 2 ผัก ให้ทั้งคาร์โบไฮเดรต แร่ธาตุ วิตามิน ใยอาหาร โปรตีน สารต้านอนุมูลอิสระ สารพฤกษเคมี

กลุ่มที่ 3 ผลไม้ มีใยอาหาร น้ำตาลฟรุตโตส วิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ สารสีที่ดีต่อร่างกายและสมอง

กลุ่มที่ 4 น้ำมัน ช่วยดูดซึมวิตามินเอ,ดี,อี,เค ที่ละลายในน้ำมัน เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง ซึ่งให้กรดไขมันที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมองและระบบประสาท

กลุ่มที่ 5 นม โยเกิร์ต ชีส ที่ช่วยเพิ่มสารอาหารต่างๆ

กลุ่มที่ 6 เนื้อสัตว์ ที่ให้โปรตีนจากไข่ ปลา ไก่ หมู วัว อาหารทะเล ที่เป็นองค์ประกอบของเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง เสริมระบบภูมิต้านทาน และการพัฒนาสมอง

กลุ่มที่ 7 ถั่ว ที่มีแร่ธาตุวิตามินบางชนิดจากถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วดำ ผลิตภัณฑ์จากถั่ว เต้าหู้

คุณแม่ควรระวัง!!...ลูกกินไม่มีคุณภาพ อาจมีผลกระทบต่อการเรียนรู้

เพราะจากงานวิจัยพบว่าเด็กไทยที่อยู่ในวัยเรียนรู้ในปัจจุบัน มีสัญญาณพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง จึงทำให้มีแนวโน้มว่าจะได้รับสารอาหารที่สำคัญบางชนิดไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการ ทำให้สมองเรียนรู้ได้ช้า สมาธิน้อยลง และความจำไม่ดี ไม่อยากให้ลูกตกเป็นหนึ่งของกลุ่มเด็กไทยที่เผชิญกับภาวะการพัฒนาการไม่เต็มศักยภาพ อย่ามองข้ามการส่งเสริมการทานอาหารให้หลากหลายครบ 7 กลุ่มอาหารเพื่อให้มั่นใจว่าลูกจะได้รับสารอาหารที่มีคุณภาพครบถ้วน เพียงพอต่อความต้องการนะคะ


สำคัญไม่แพ้กัน 7 สารอาหารสำคัญ เพื่อเสริมศักยภาพสูงสุดให้ลูกรัก...
คุณแม่ควรคำนึงถึง 7 สารอาหารสำคัญ ที่เด็กต้องการเพื่อพัฒนาการที่ดีตามวัยด้วยค่ะ ซึ่งก็ได้แก่

1. แคลเซียม
2. วิตามินดี
3. สังกะสี
4. เหล็ก
5. ไอโอดีน
6. วิตามินบี 1 และสุดท้าย
7. วิตามินเอ ซึ่งสารอาหารแต่ละชนิดเหล่านี้ก็มีความสำคัญไม่แพ้กันค่ะ ซึ่งสามารถได้จากการรับประทานอาหารให้ครบ 7 กลุ่มในแต่ละวัน ซึ่งแต่ละสารอาหารมีความสำคัญไม่แพ้กันนะคะ

แคลเซียม มีความสำคัญต่อการสร้างกระดูกและฟัน การทำงานของระบบประสาท เด็กไทยควรดื่มนมให้มากพอเพราะเป็นแหล่งแคลเซียมที่เพียงพอต่อความต้องการ โดยนมเพียง 2-3 แก้วจะให้แคลเซียมได้ถึง 287.5 มิลลิกรัมเชียวค่ะ ส่วน วิตามินดี จะช่วยดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส ควบคุมการสร้างกระดูก มีในน้ำมันตับปลา ปลา และร่างกายยังสังเคราะห์ได้จากแสงแดด สังกะสี ก็เป็นส่วนประกอบของเอนไซน์ในร่างกายที่มีมากกว่า 200 ชนิด

ช่วยในระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายเติบโตดีด้วยค่ะ หาให้ลูกทานได้จากเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล นม สำหรับ เหล็ก นับว่าเป็นส่วนประกอบของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่ขนส่งสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ทั่วร่างกายและสมอง พบได้ในเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ เลือด ตับ ไข่แดง

ส่วน ไอโอดีน ที่รณรงค์ส่งเสริมก็เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของฮอร์โมนไทรอยด์ มีหน้าที่ควบคุมการเติบโตของร่างกายและสมอง ควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ช่วยพัฒนาสติปัญญาและการเรียนรู้ที่ดี สำหรับ วิตามินบี 1 ช่วยให้ระบบประสาทและกล้ามเนื้อทำงานได้ดี บำรุงระบบประสาท โดยเฉพาะปลายประสาทด้วยค่ะ สุดท้าย วิตามินเอ มีความสำคัญต่อจอประสาทตา

ช่วยในการมองเห็น การเติบโตของร่างกาย การสร้างเม็ดเลือด กล้ามเนื้อและกระดูก การสร้างภูมิคุ้มกัน เมื่อไหร่ที่ลูกขาด ก็จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยได้ง่าย พัฒนาการการเจริญเติบโตก็ผิดปกติ ดังนั้นให้ลูกทานตับ ไข่แดง นม ผักผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีนด้วย ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ หรือโปรวิตามินเอ ซึ่งผักโขม ตำลึง ผักบุ้ง แครอท ฟักทองก็มีค่ะ เมื่อไม่ขาดสารอาหารเหล่านี้สมองลูกย่อมได้รับการพัฒนาให้มีไอคิวเพิ่ม และเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพของเขาค่ะ

http://women.sanook.com/938359/

โรคหลอดเลือดสมอง

ภาวะสมองขาดเลือดคืออะไร

ภาวะสมองขาดเลือดถือว่าเป็นหนึ่งในโรคสำคัญที่พบได้บ่อยในสังคมเรา และกลายเป็นปัญหาหนักต่อตัวผู้ป่วยเอง ต่อครอบครัวของผู้ป่วย รวมทั้งต่อสังคมโดยทั่วไปด้วย โรคนี้จะทำให้เกิดอาการอัมพาตเฉียบพลัน ผู้ป่วยอาจสูญเสียความสามารถในการพูดและหรือการมองเห็น ภาวะสมองขาดเลือดมีสาเหตุจากการที่ร่างกายไม่สามารถลำเลียงเลือดไปเลี้ยงสมองได้ เนื่องจากเกิดการอุดตันของเส้นเลือด ส่งผลให้ออกซิเจนและสารอาหารอื่นไม่สามารถขึ้นไปเลี้ยงสมองได้เพียงพอ หลังจากนั้นเซลล์สมองก็จะตายในเวลาเพียงสั้นๆ

นอกจากนี้ ภาวะสมองขาดเลือดอาจเกิดขึ้นจากการมีเลือดออกในสมองเนื่องจากภาวะหลอดเลือดแตก ซึ่งอัตราการเกิดขึ้นของกรณีนี้มีประมาณ 12% ของภาวะสมองขาดเลือดทั้งหมด

ความรุนแรงของภาวะสมองขาดเลือดจะมากหรือน้อยเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับตำแหน่งของเนื้อเยื่อสมองที่ถูกทำลาย โดยธรรมชาติแล้วสมองด้านซ้ายจะควบคุมการทำงานของอวัยวะซีกขวาและการพูด โดยสมองด้านขวาควบคุมการทำงานของร่างกายซีกซ้าย

โรคหลอดเลือดสมองตีบ หรือโรคสมองขาดเลือดหรือที่นิยมเรียกกันว่า  Stroke ในทางการแพทย์มักจะเรียกกันว่า CVD "Cerobrovascular disease "โรคหลอดเลือดสมองทำให้เกิดอัมพฤกษ์อัมพาต (แขนและขาอ่อนแรงครึ่งซีก) มีปัญหาทางด้านความคิด สูญเสียความจำ มีปัญหาทางด้านการพูด อารมณ์แปรปรวน การเกิดภาวะสมองขาดเลือดเป็นประสบการณ์ที่ร้ายแรงมาก ภาวะสมองขาดเลือดที่มีเนื้อสมองตาย มักเกิดจากการขาดเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยง โดยทั่วไปเกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดแดงในสมองหรือหลอดเลือดแดงคาโรติด ซึ่งเป็นหลอดเลือดแดงบริเวณคอที่นำเลือดไปเลี้ยงบริเวณสมอง ภาวะสมองขาดเลือดนี้มักเกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ ( Ischemic stroke) หรือภาวะหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic stroke) ซึ่งมักเกิดจากการที่ผนังหลอดเลือดแตกทำให้มีเลือดคั่งในเนื้อสมอง

ประมาณ 1ใน 3 ของผู้ป่วยมักมีอาการของภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราวนำมาก่อน ลักษณะดังกล่าวมักเป็นเวลาสั้น ๆ เกิดขึ้นเมื่อเลือด และออกซิเจนไหลเวียนลดลงชั่วคราว ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราวหรือเรียกว่าTransient ischemic attack มีอาการเกิดขึ้นตั้งแต่ 2 – 3 นาทีถึงเป็นชั่วโมง เป็นสัญญาณเตือนบอกถึงความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองขาดเลือดเพิ่มขึ้นในอนาคต คนไทยเรียก โรคอัมพาต แต่ถ้าผู้ป่วยรายใดมีอาการไม่รุนแรงยังพอขยับได้เรียก โรคอัมพฤกษ์  ซึ่งจะต้องมี 3 ภาวะกล่าวคือ

ภาวะนี้จะต้องเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง
จากเหตุในข้อ 1 มีผลทำให้สมองบางส่วนสูญเสียหน้าที่ เช่นพูดไม่ได้ อ่อนแรง
ระยะเวลาที่เป็นต้องเกิน24 ชั่วโมง
  โรคอัมพาตเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนจะต้องทราบเกี่ยวกับโรคนี้ หลายท่านคงไม่ทราบว่าโรคนี้สามารถป้องกันได้ หลายท่านคงไม่ทราบว่าตัวเอง คุณพ่อ คุณแม่ ตลอดจนคนรู้จักหรือญาติมิตรมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ หากท่านทราบและปฏิบัติตัวได้อย่างเหมาะสม ก็สามารถป้องกันโรคนี้ได้    ดังนั้นจึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยง และยังไม่พยายามที่จะลดความเสี่ยงเหล่านั้นได้ทราบถึงอันตรายและผลที่จะเกิดหากท่าเป็นโรคอัมพาต

หลายท่านยังมีความเข้าใจผิดว่าโรคอัมพาตรักษาไม่ได้ อัมพาตป้องกันไม่ได้ อัมพาตเป็นเฉพาะผู้สูงอายุ ทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิด อัมพาตสามารถป้องกันได้ อัมพาตสามารถเป็นได้กับผู้ป่วยทุกอายุ และสามารถรักษาได้

การรักษาโรคอัมพาตให้ได้ผลผู้ป่วยต้องรีบพบแพทย์ให้เร็วที่สุด ท่านผู้อ่านต้องรู้ถึงสัญญาณอันตรายบทความนี้จะกล่าวถึง

ชนิดโรคหลอดเลือดสมอง 
  สัญญาณอันตราย
  ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดอัมพาตและการป้องกัน
  อาการของโรคหลอดเลือดสมอง
  การลดปัจจัยเสี่ยง
  การวางแผนการตรวจและการรักษา
  โรคแทรกซ้อนของหลอดเลือดสมอง
  ผลของอัมพาต
  การเตรียมตัวก่อนออกจากโรงพยาบาล
  การทำกายภาพ
  คนปกติก็เป็นเส้นเลือดสมองตีบได้
  ความดันโลหิตสูง
  โรคเบาหวาน
  โรคไขมันในเลือดสูง
  โรคอ้วน
  โรคหัวใจวาย
  สูบบุหรี่
  กาแฟทำให้โรคหลอดเลือดสมองตีบเพิ่มขึ้น

อ้างอิงโดย http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/neuro/cva/index.htm#.USzBq6JdB8E

อาการของผู้ป่วยสมองอักเสบ

ผู้เป็นไม่มากจะมีอาการ
  • ไข้
  • อ่อนเพลียไม่มีแรง
  • เจ็บคอ
  • คอแข็ง
  • อาเจียน
  • ปวดศีรษะ
  • สับสน
  • กระสับกระส่าย
  • ซึม
  • ปวดหัวเมื่อแสงจ้าๆ
สำหรับผู้ที่มีอาการมากได้แก่
  • ซึม ไม่ค่อยรู้สึกตัว
  • สับสนไม่รู้วันหรือกลางคืน จำคนไม่ได้
  • ชัก
  • ไข้สูง
  • ปวดศีรษะมาก
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • มือสั่น
  • คอแข็ง
สาเหตุ
สาเหตุของสมองอักเสบส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส การติดต่อโดยมากเกิดจากยุง ไรกัด เช่นโรคสมองอักเสบจากไวรัสสายพันธ์ยี่ปุ่น japaness encephalitis บางชนิดเกิดจากการที่สัตว์เช่นค้างคาวหรือสุนัขกัด เช่นโรคหมาบ้า
ประเภทของการติดเชื้อแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
  • ติดเชื้อครั้งแรก Primary encephalitis หมายถึงการติดเชื้อไวรัสเป็นครั้งแรกและเชื้อนั้นก็ทำให้เกิดสมองอักเสบ มักจะมีการระบาดเป็นครั้งคราว เช่นไขสมองอักเสบสายพันธ์ญี่ปุ่น
  • สมองอักเสบซึ่งเกิดจากเชื้อที่อยู่ในร่างกายเรียก Secondary (post-infectious) encephalitis เช่นสมองอักเสบจากเชื้อเริม
เชื้อที่เป็นสาเหตุของสมองอักเสบ
  1. Herpes viruses เมื่อคนได้รับเชื้อจะทำให้เกิดโรคเริมซึ่งอาจจะเกิดแผลที่ปากหรืออวัยวะเพศ หลังจากนั้นเชื้อจะอยู่ในร่างกาย เมื่อคนมีภูมิลดลงเชื้อที่อยู่ในร่างกายจะกำเริบทำให้เกิดสมองอักเสบ อ่านโรคเริมที่นี่
    • Herpes simplex virus
    • Varicella-zoster virus
    • Epstein-Barr virus
  2. Childhood infections
    • Measles (rubeola)
    • Mumps
    • Rubella (German measles)
  3. Arboviruses สัตว์ที่เป็นแหล่งพักเชื้อได้แก่ หมู นก ยุงและไรจะเป็นตัวนำเชื้อโรคมาสู่คนโดยการกัดสัตว์ที่เป็นดรค และเมื่อมากัดคนก็จะปล่อยเชื้อสู่คน หากเชื้อมีปริมาณมากพอก็จะทำให้เกิดโรค
    • Eastern equine encephalitis
    • Western equine encephalitis
    • St. Louis encephalitis
    • La Crosse encephalitis
    • West Nile encephalitis
    • Japanese encephalitis เป็นโรคไข้สมองอักเสบที่พบมากในเอเซียปีละประมาณ 50000 รายและเสียชีวิตประมาณปีละ 15000 รายพบมากในเด็กและวัยรุ่น หมูเลี้ยงและนกเป็นสัตว์ที่มีเชื้อ โดยมียุงเป็นพาหะนำโรค
ปัจจัยเสี่ยงต่อการติดโรค
  • อายุ สมองอักเสบบางชนิดมักจะเป็นในเด็ก
  • ภูมิคุ้มกัน ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องมีโอการของสมองอักเสบสูงกว่าคนอื่น
  • ภูมิสาสตร์ ผู้ที่อาศัยหรือไปเที่ยวยังแหล่งที่มีการระบาดของโรคก็จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
  • สภาพความเป็นอยู่ ผู้ที่มีกิจกรรมนอกบ้านมาก เช่นการวิ่งนอกบ้าน ตีกอลฟ์ การดูนก ดังนั้นในช่วงที่มีการระบาดต้องระวังเป็นพิเศษ
  • ฤดูกาล
การวินิจฉัยโรค
เมื่อมีผู้ป่วยที่มีอาการเข้าได้กับโรคไข้สมองอักเสบโดยเแพาะรายที่มีไข้และมีการเปลี่ยนแปลงของความรู้สึก ก็จะต้องตรวจพิเศษเพื่อวินิจฉัยแยกโรค การตรวจที่สำคัญได้แก่
  • การเจาะเอาน้ำไขสันหลังไปตรวจภาษาแพทย์เรียก Spinal tap (lumbar puncture) แพทย์จะใช้เข็มเจาะเข้าไขสันหลัง และเอาน้ำไขสันหลังไปตรวจ
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง Electroencephalography (EEG).เป็นการวัดไฟฟ้าของสมอง การตรวจนี้จะมีประโยชน์มากในรายที่มีอาการชัก
  • การตรวจรังสีสมอง หรือการตรวจ computerized tomography (CT) or magnetic resonance imaging (MRI) scan จะบอกได้ว่าสมองส่วนไหนมีการบวม
  • การตรวจเนื้อเยื่อสมองเพื่อหาตัวเชื้อโรค
โรคแทรกซ้อน
ผู้ที่มีสมองอักเสบแบบรุนแรงอาจจะมีโรคแทรกซ้อนได้หลายประการ
  • เสียชีวิต
  • หายใจวาย
  • โคม่า
  • ความจำเสื่อม
  • ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อ
  • หูหนวกหรือตาบอด
เมื่อไรจึงจะพบแพทย์
หากคุณมีอาการดังกล่าวข้างต้นร่วมกับภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคเช่น
  • เป็นเริมที่ปากหรืออวัยวะเพศ
  • เมื่อคุณเข้าป่า และสงสัยว่าถูกยุงกัด
  • เมื่อคุณไปในแหล่งที่มีการระบาดของโรค
การรักษา
โดยทั่วไปหากไม่รุนแรงอาจจะหายเองได้ โดย
  • การพักผ่อนให้พอเพียง
  • ดื่มน้ำมากๆ
  • ยาแก้ปวดพาราเซ็ตตามอล
  • ยาแก้สมองบวม
  • ยากันชัก หากผู้ป่วยมีอาการชัก
แต่การรักษาโรคมักจะไม่มียาเฉพาะโรค เนื่องจากไวรัสที่เป็นสาเหตุไม่ค่อยตอบสนองต่อการรักษานอกเสียจากเชื้อไวรัสเริมอาจจะตอบสนองต่อการรักษา
การป้องกันโรค
เนื่องจากโรคนี้เมื่อเป็นแล้วไม่มียาที่รักษาเฉพาะ ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
  • ฉีดวัคซีนป้องกันโรค เช่น ไข้สุกใส คางทูม หัดเยอรมัน วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบ
  • ใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวเมื่อต้องออกนอกบ้าน
  • ทายากันยุงที่เสื้อผ้า ความเข้มข้นของยาขึ้นกับระยะเวลาที่ป้องกัน
  • หลีกเลี่ยงการถูกยุงกัด โดยหลีกเลี่ยงแหล่งที่มียุงมาก
  • กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง
  • ให้สำรวจสิ่งแวดล้อม ว่ามีสัตว์ตายผิดปกติบ้างหรือไม่
http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/neuro/encephalitis.htm

โรคสมองเสื่อม | โรคอัลไซเมอร์ |dementia | alzheimers




      ทุกท่านคงเคยได้ยิน ได้ฟัง เกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ แต่จะรู้จักมากน้อยแค่ไหน สงสัยว่าตนเองหรือญาติป่วยเป็นโรคนี้หรือไม่ และจะทำอย่างไรต่อไป เรามาทำความรู้จักกับโรคนี้สักหน่อยดีไหม
อัลไซเมอร์ เป็นโรคสมองเสื่อมชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยที่สุด โดยจะมีการเสื่อมของเซลล์สมองทุกส่วนเป็นแล้วไม่มีวันหาย ผู้ป่วยจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเอง ไม่สามารถแยกทุกผิด มีปัญหาในเรื่องการใช้ภาษา การประสานงานของกล้ามเนื้อเสียไป ความจำเสื่อม ในระยะท้ายของโรคจะสูญเสียความจำทั้งหมด  ในสหรัฐประมาณว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคนี้กว่า3-4 ล้านคน และจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลก เนื่องจากประชากรมีอายุยืนยาวขึ้น ในประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคนี้ประมาณ 2-4 % ของผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ยิ่งอายุมากขึ้นก็จะพบผู้ป่วยด้วยโรคนี้มากขึ้น กล่าวคือจะพบเพิ่มขึ้น 2 เท่าทุก 5 ปี หลังอายุ 60 ปี
แม้ว่าโรคนี้จะไม่สามารถป้องกัน และไม่สามารถรักษา ญาติสามารถช่วยผู้ป่วยโดยการศึกษาโรคนี้และช่วยผู้ป่วยอย่างถูกวิธี
สาเหตุของโรค 
  1. จากความผิดปกติในเนื้อสมองจะพบลักษณะที่สำคัญสองอย่างคือกลุ่มใยประสาทที่พันกัน Neurofibrillary Tangles.และมีสาร Beta Amyloid ในสมอง ใยสมองที่พันกันทำให้สารอาหารไม่สามารถไปเลี้ยงสมอง การที่สมองมีคราบ Beta Amyloid หุ้มทำระดับ acetylcholine สมองลดลงสาร acetylcholine จะมีส่วนสำคัญในเรื่องการเรียนรู้และความจำ
  2. การอักเสบ inflammatory สาร amyloid เมื่อสลายจะให้สารอนุมูลอิสระออกมา อนุมูลนี้จะทำให้เกิดการอักเสบของเซลล์สมอง
  3. กรรมพันธุ์ โรค Alzheimer ทีเกิด late onset จะมีการเพิ่มของ gene ที่ควบคุมการสร้าง apolipoprotein E4 (ApoE 4) ส่วนที่เกิด early onset จะมีการเปลี่ยนแปลงของ gene presenilin-1 (PS1) และ presenelin-2 (PS2)

อาการจะเริ่มเป็นตอนอายุ 65 ปี แต่บางรายเป็นเร็วกว่านั้นอาจจะเริ่มตอนอายุ 40 ปีอาการเริ่มเป็นใหม่ๆจะมีอาการขี้ลืม และสูญเสียสมาธิ ซึ่งอาการแรกๆอาจจะวินิจฉัยยากเพราะอาการนี้ก็เป็นกับผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่ การดำเนินโรคจะค่อยเป็นค่อยไป และทรุดลงในช่วงระยะ 1-3 ปี มีปัญหาเรื่องวันเวลาสถานที่ และอาจหลงทางกลับบ้านไม่ถูก ลืมชื่อญาติสนิท หวาดระแวง สับสน โดยเฉพาะกลางคืนอาจไม่นอนทั้งคืน จะออกนอกบ้าน และมีพฤติกรรมก้าวร้าว บางคนก็กลับเปลี่ยนไป เป็นไม่สนใจสิ่งแวดล้อม งดงานอดิเรกที่เคยทำ เช่น เก็บกวาดต้นไม้ หรือดูทีวี อ่านหนังสือพิมพ์ ส่วนหนึ่งเพราะดูและอ่านไม่ค่อยเข้าใจ คิดคำนวณไม่ได้ ใช้จ่ายทอนเงินไม่ถูก เมื่อเวลาผ่านไปอีก 2-3 ปี อาการยิ่งทรุดหนัก ความจำเลวลงมาก จำญาติไม่ได้ เคลื่อนไหวช้าลง ไม่ค่อยยอมเดิน หรือเดินก็เหมือนก้าวขาไม่ออก ลังเล ทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเอง เช่นอาบน้ำ แปรงฟัน รับประทานอาหารไม่ได้ พูดน้อยลง ไม่เป็นประโยค ที่สุดก็ไม่พูดเลย กลั้นปัสสาวะ อุจจาระไม่ได้ ต้องมีคนดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ผู้ป่วยจะเสียชีวิตในเวลา 2-10 ปี โดยเฉลี่ย 10 ปี ด้วยโรคแทรก เช่น ติดเชื้อจากปอดบวม หรือแผลกดทับการดำเนินโรค
โรค Alzheimer สามารถแบ่งระยะของโรคได้ 3 ระยะได้แก่
  1. ระยะเริ่มแรกผู้ป่วยจะรับรู้ว่าขี้ลืม ลืมปิดเตารีด ลืมปิดประตู ลืมชื่อคน ลืมรับประทานยา ต้องให้คนช่วยเขียนรายการที่จะทำ
  2. ระยะที่สองผู้ป่วยจะสูญเสียความจำโดยเฉพาะความจำที่เพิ่งเกิดใหม่ๆโดยอาจจะจำเรื่องราวในอดีต เริ่มใช้คำพูดไม่ถูกต้อง อารมณ์จะผันผวน
  3. ระยะที่สาม ผู้ป่วยจะสับสน ไม่รู้วันรู้เดือน บางรายมีอาการหลงผิด หรือเกิดภาพหลอน บางรายอาจจะก้าวร้าวรุนแรง ปัสสาวะราด ไม่สนใจตนเอง
อันที่จริงโรคนี้มีมานานแล้วโดย Dr. Alois Alzheimer เป็นแพทย์ชาวเยอรมันเป็นผู้บรรยายไว้ตั้งแต่ปี คศ.1906 ที่นำมากล่าวขานกันระยะหลังนี้มากขึ้น ด้วยเหตุมีผู้ที่เคยเป็นผู้นำประเทศอย่าง Ronald Reagan ป่วยเป็นโรคนี้ และ วงการแพทย์ค้นพบปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและอาจเป็นสาเหตุของโรคนี้มากขึ้น ที่สำคัญคือ สามารถผลิตยาที่ช่วยทำให้อาการของอัลไซเมอร์ดีขึ้น
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงคือ 
  1. อายุ ยิ่งอายุมากยิ่งมีโอกาสเป็นมากดังกล่าว พบว่าร้อยละ25ของผู้ป่วยอายุ 85ปี เป็นโรคนี้
  2. โรคความดันโลหิตสูงเรื้อรัง โรคความดันโลหิตสูงทำให้ผู้ป่วยสูญเสียความจำ การรักษาความดันจะทำให้ความจำดีขึ้น
  3.  เรื่องของกรรมพันธุ์ ถ้ามีบุคคลในครอบครัวป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ โอกาสที่จะเป็นก็มากขึ้น เรื่องพันธุกรรมนี้มีความก้าวหน้าขึ้นมาก เช่น ทราบว่าความผิดปกติของยีน (gene) ที่สร้าง amyloid precursor protein จะทำให้ได้โปรตีนที่ผิดปกติ ก่อให้เกิดตะกอนที่เรียกว่า amyloid plaques ในเนื้อสมอง และผู้ที่มี gene บนโครโมโซมที่ 19 ชนิด Apolipoprotein E4 จะมีโอกาสเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้มากกว่าคนปกติ นอกจากนี้ ยังพบโปรตีนที่ผิดปกติอื่นๆ เช่น Tau protein ที่อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดกลุ่มใยประสาทที่พันกัน (Neurofibrillary tangles) ที่พบเป็นลักษณะจำเพาะของพยาธิสภาพของโรคอัลไซเมอร์
ยากับโรคอัลไซเมอร์
การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน เริ่มมีความสำคัญ ในต่างประเทศพบว่าผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่รับประทานฮอร์โมนเอสโตรเจนมีโอกาสเกิดโรคอัลไซเมอร์น้อยกว่า และเป็นโรคช้ากว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้ยานี้
ยากลุ่มต้านการอักเสบที่เรียกว่า NSAID ก็พบว่า อาจมีบทบาทลดอุบัติการณ์ของโรค เนื่องจากพบว่าผู้ที่ป่วยเป็นอัลไซเมอร์มีประวัติใช้ยากลุ่มนี้น้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็น นอกจากนี้ยาหรือสารต้านอ๊อกซิแดนท์ต่างๆ เช่น วิตามิน C และ E รวมถึงใบแปะก๊วย (gingo bibloa) ก็กำลังอยู่ในความสนใจ และมีการศึกษากันอย่างกว้างขวาง ว่าอาจจะช่วยหรือป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้
ผู้ป่วยอัลไซเมอร์จะมีปริมาณเซลล์สมองลดลง และสารสื่อประสาท อะเซติลโคลีนลดลงด้วย สารสื่อประสาทนี้เป็นตัวเชื่อมโยงคำสั่งต่างๆ ของเซลล์สมองที่ควบคุมด้านความจำ ความคิดอ่านและพฤติกรรมต่างๆ เมื่อสารอะเซติลโคลีนลดลง จึงทำให้เกิดอาการต่างๆของโรคอัลไซเมอร์ ปัจจุบันมียาที่ช่วยเพิ่มปริมาณของสารอะเซติลโคลีนในสมอง โดยออกฤทธิ์ต้านเอ็นไซม์อะเซติลโคลีนเอสเตอเรสที่ย่อยสลายอะเซติลโคลีน ยานี้จึงช่วยให้ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ มีอาการดีขึ้นได้ และชลอการทรุดลงของโรคถ้าได้ใช้ในระยะเริ่มแรก แต่จะไม่ทำให้โรคหายขาด
การดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์
การดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์ มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ต้องให้ความเข้าใจ เห็นใจ ว่าผู้ป่วยไม่ได้ตั้งใจที่จะก้าวร้าว หงุดหงิดอย่างที่เราเห็น แต่เป็นจากตัวโรคเอง ไม่ควรทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่มั่นใจ อาย หรือหงุดหงิด เช่น ถ้าคุยอะไรแล้วผู้ป่วยนึกไม่ค่อยออกหรือจำไม่ได้ ควรเปลี่ยนเรื่อง เอาเรื่องที่คุยแล้วมีความสุข ผู้ป่วยไม่สามารถคิดเลขได้ ไม่สามารถเล่นดนตรีแต่สามารถร้องเพลงพร้อมกับวิทยุ เล่นหมากรุกไม่ได้ แต่สามารถเล่นเทนนีสได้ หรือถ้ามีความคิดอะไรผิดๆ ไม่ควรเถียงตรงๆ ถ้าไม่จำเป็นก็อาจไม่ต้องอธิบายมาก เนื่องจากจะทำให้หงุดหงิด และหมดความมั่นใจ
ควรจัดห้องหรือบ้านให้น่าอยู่ สดใส ใช้สีสว่างๆ ถ้าในรายที่ชอบเดินไปมามากๆ ต้องใช้เทคนิคการเบี่ยงเบนความสนใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรืออาจใช้การพาดเสื้อผ้า ไว้ที่ลูกบิดประตูเพื่อไม่ให้เห็นลูกบิด ต้องเก็บของมีคม หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าให้มิดชิด ปิดวาวล์เตาแก๊สไว้เสมอ เป็นต้น
ในรายที่มีอาการที่เริ่มจะดูแลยาก เช่น ก้าวร้าวมาก เอะอะโวยวาย สับสนมาก หรือ เดินออกนอกบ้านบ่อยๆ ควรพาไปพบแพทย์ระบบประสาท เนื่องจากอาจจำเป็นต้องใช้ยาช่วยลดอาการดังกล่าว
การดูแลผู้ป่วยตามระยะของโรค
ผู้ป่วยในระยะแรก 
  • บอกการวินิจฉัยให้แก่ผู้ป่วยเพื่อที่แพทย์จะสามารถให้การรักษาได้ตั้งแต่เริ่มเป็น แพทย์ ผู้ที่ดูแล และผู้ป่วยจะต้องมาปรึกษาว่าจะเกิดภาวะอะไรกับผู้ป่วย เช่นความจำ อารมณ์เป็นต้น
  • อารมณ์ เนื่องจากผู้ป่วยจะมีอารมณ์ที่ผันผวนอย่างรวดเร็ว อาจจะกร้าวและโกรธจัด พฤติกรรมนี้เกิดจากความไม่สมดุลของสารเคมีในสมอง และเกิดจากที่ผู้ป่วยสูญเสียความรู้และไม่สามารถเข้าใจสิ่งต่างๆรอบตัว และไม่สามารถใช้คำพูดได้อย่างเหมาะสมจึงทำให้ผู้ป่วยมีอารมณ์ที่แปรปรวน ผู้ให้การดูแลต้องจัดสิ่งแวดล้อมให้เรียบง่าย ให้เงียบ เวลาพูดกับผู้ป่วยต้องช้าๆ และให้ชัดเจน ไม่ให้ทางเลือกกับผู้ป่วยมากไปเนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถตัดสินใจได้ถูกต้อง เช่นให้ผู้ป่วยเลือกเสื้อผ้าเอง ผู้ป่วยไม่สามารถเลือกเสื้อผ้าให้เข้ากันซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยโกรธ เมื่อผู้ป่วยโกรธ หรือตะโกนอาจจะหาของว่างให้รับประทาน หรือขับรถให้ผู้ป่วยเที่ยวซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยสงบ ผู้ให้การบริการจะต้องมีอารมณ์ทีสงบ อารมณ์ไม่ฉุนเฉียว
  • ความสะอาด ผู้ป่วยมักจะไม่อยากอาบน้ำ ผู้ป่วยอาจจะเลือกเสื้อผ้าไม่เหมาะสมผู้ดูแลอย่าโกรธ ต้องแสดงความเห็นใจ
  • การขับรถ เมื่อวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ห้ามขับรถ ต้องป้องกันผู้ป่วยออกนอกบ้านโดยการ lock ประตูและอาจจะติดสัญญาณเตือนเมื่อผู้ป่วยออกนอกบ้านพยายามให้ผู้ป่วยออกกำลัง เช่นเดินครั้งละ 30 นาทีวันละ 3 ครั้งจะทำให้ผู้ป่วยเพลียและหลับง่าย
  • การนอนหลับ มีคำแนะนำให้เปิดไฟให้สว่างในเวลากลางวัน จะทำให้ผู้ป่วยหลับในเวลากลางคืน
การดูและในระยะท้ายของโรค
  • ผู้ป่วยจะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ หากมีอาการดังกล่าวจะต้องตรวจดูว่ามีโรคติดเชื้อหรือไม่ ผู้ดูแลสามารถกะเวลาปัสสาวะได้โดยกำหนดเวลา และปริมาณน้ำและอาหารที่ให้ และสามารถพาผู้ป่วยไปห้องน้ำได้ทัน
  • การเคลื่อนไหว ระยะท้ายผู้ป่วยจะจำไม่ได้ว่าเคลื่อนไหวอย่างไร จะนอนหรือนั่งรถเข็น ผู้ดูแลต้องคอยพลิกตัวผู้ป่วยทุกสองชั่วโมง ทำกายภาพบำบัดเพื่อแก้ข้อติด
  • การรับประทานอาหาร ผู้ป่วยจะกลืนอาหารไม่ได้ต้องให้อาหารทางสายยาง ผู้ดูแลต้องระวังสำลักอาหาร
http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/neuro/alzheimer/alzheimers.html#.USzC5qJdB8E



การนอนไม่หลับ
การนอนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คนเราใช้เวลาหนึ่งในสามในการนอน แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการนอนเท่าใด คนเราจะมีช่วงที่ง่วงนอน 2ช่วงคือกลางคืน และตอนเที่ยงวันจึงไม่แปลกใจกับคำว่าท้องตึงหนังตาหย่อนในตอนเที่ยง
กลไกการนอนหลับ
เมื่อความมืดมาเยือนเซลล์ที่จอภาพ[retina] จะส่งข้อมูลไปยังเซลล์ประสาทที่อยู่ใน hypothalamus ซึ่งจะเป็นที่สร้างสาร melatonin สาร melatonin สร้างจาก tryptophan ทำให้อุณหภูมิลดลงและเกิดอาการง่วง การนอนของคนปกติแบ่งออกได้ดังนี้
  1. การนอนช่วง  Non-rapid eye movement {non- (REM) sleep} การนอนในช่วงนี้มีความสำคัญมากเพราะมีส่วนสำคัญในการทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาการและมีการหลั่งของฮอร์โมนที่เร่งการเติบโต growth hormone การนอนช่วงนี้แบ่งออกเป็น 4 ระยะได้แก่โดยการหลับจะเริ่มจากระยะที่1ไปจน REMและกลับมาระยะ1ใหม่
  • Stage 1 (light sleep) ระยะนี้ยังหลับไม่สนิทครึ่งหลับครึ่งตื่น ปลุกง่าย ช่วงนี้อาจจะมีอาการกระตุกของกล้ามเนื้อที่เรียกว่า hypnic myoclonia มักจะตามหลังอาการเหมือนตกที่สูง ระยะนี้ตาจะเคลื่อนไหวช้า
  • Stage 2 (so-called true sleep).ระยะนี้ตาจะหยุดเคลื่อนไหวคลื่นไฟฟ้าสมองเป็นแบบ rapid waves เรียก sleep spindles
  • Stage 3 คลื่นไฟฟ้าสมองจะมีลักษณะ delta waves และ Stage 4ระยะนี้เป็นระยะที่หลับสนิทที่สุดคลื่นไฟฟ้าสมองเป็นแบบ delta waves ทั้งหมด ระยะ3-4 จะปลุกตื่นยากที่สุดตาจะไม่เคลื่อนไหวร่างกายจะไม่เคลื่อนไหว เมื่อปลุกตื่นจะงัวเงีย
  1. การนอนช่วง Rapid eye movement (REM) sleep จะเกิดภายใน 90 นาที หลังจากนอนช่วงนี้เมื่อทดสอบคลื่นสมองจะเหมือนคนตื่น ผู้ป่วยจะหายใจเร็ว ชีพขจรเร็ว กล้ามเนื้อไม่ขยับ อวัยวะเพศแข็งตัว เมื่อคนตื่นช่วงนี้จะจำความฝันได้
เราจะใช้เวลานอนร้อยละ50ใน Stage 2 ร้อยละ 20ในระยะ REM ร้อยละ30 ในระยะอื่นๆ การนอนหลับครบหนึ่งรอบใช้เวลา 90-110นาที คนปกติต้องการนอนวันละ 8 ชั่วโมงโดยหลับตั้งค่ำจนตื่นในตอนเช้า คนสูงอายุการหลับจะเปลี่ยนไปโดยหลับกลางวันเพิ่มและตื่นกลางคืน จำนวนชั่วโมงในการนอนหลับแต่ละคนจะไม่เหมือนกันบางคนนอนแค่วันละ 5-6 ชั่วโมงโดยที่ไม่มีอาการง่วงนอน
อาการนอนไม่หลับ
อาการนอนไม่หลับไม่ใช่โรคแต่เป็นภาวะหลับไม่พอทำให้ตื่นขึ้นมาแล้วไม่สดชื่น บางคนอาจจะหลับยากใช้เวลามากว่า 30นาทียังไม่หลับ บางคนตื่นบ่อยหลังจากตื่นแล้วหลับยาก บางคนตื่นเช้าเกินไป ทำให้ตื่นแล้วไม่สดชื่น ง่วงเมื่อเวลาทำงาน อาการนอนไม่หลับมักจะเป็นชั่วคราวเมื่อภาวะกระตุ้นหายก็จะกลับเป็นปกติแต่ถ้าหากมีอาการเกิน 1 เดือนให้ถือว่าเป็นอาการเรื้อรัง
การวินิจฉัย
แพทย์จะถามคำถาม 4คำถามได้แก่
  • ให้อธิบายว่ามีปัญหานอนไม่หลับเป็นอย่างไร
  • นอนไม่หลับเป็นมานานเท่าใด
  • เป็นทุกทุกคืนหรือไม่
  • สามารถทำงานตอนกลางวันได้หรือไม่
แพทย์จะค้นหาว่าอาหารนอนไม่หลับนั้นเกิดจากโรค จากยา หรือจากจิตใจ
คนเราต้องการนอนวันละเท่าใด
ความต้องการการนอนไม่เท่ากันในแต่ละคนขึ้นกับอายุ ทารกต้องการนอนวันละ 16 ชั่วโมง วัยรุ่นต้องการวันละ 9 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ต้องการวันละ 7-8 ชั่วโมง แต่คนบางคนก็อาจจะต้องการนอนน้อยเหลือเพียงวันละ 5 ชั่วโมง หากนอนไม่พอร่างกายต้องการการนอนเพิ่มในวันรุ่งขึ้น
เราอาจจะทราบว่านอนไม่พอโดยดูจาก
  • เวลาทำงานคุณมีอาการง่วงหรือซึมตลอดวัน
  • อารมณ์แกว่งโกรธง่ายโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอกับครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงาน
  • หลับภายใน 5 นาทีหลังจากนอน
  • บางคนอาจจะหลับขณะตื่นโดยที่ไม่รู้ตัว
ทั้งหมดเป็นการแสดงว่าคุณนอนไม่พอคุณต้องเพิ่มเวลานอนหรือเพิ่มคุณภาพของการนอน
การนอนหลับจำเป็นอย่างไรต่อร่างกาย
 ร่างกายเราเหมือนเครื่องจักรทำงานตลอดเวลาการนอนเหมือนให้เครื่องจักรได้หยุดทำงาน สะสมพลังงานและขับของเสียออก การนอนจึงจำเป็นสำหรับร่างกายมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีการศึกษาว่าการนอนไม่พอจะมีอันตรายการประสานระหว่างมือและตาจะเหมือนกับผู้ที่ได้รับสารพิษ ผู้ที่นอนไม่พอหากดื่มสุราจะทำให้ความสามารถลดลงอ่อนเพลียมาก การดื่มกาแฟก็ไม่สามารถทำให้หายง่วง
มีการทดลองในหนูพบว่าหากนอนไม่พอหนูจะมีอายุสั้น ภูมิคุ้มกันต่ำลง สำหรับคนหากนอนไม่พอจะมีอาการง่วงและไม่มีสมาธิ ความจำไม่ดี ความสามารถในการคำนวณด้อยลง หากยังนอนไม่พอจะมีอาการภาพหลอน อารมณ์จะแกว่ง การนอนไม่พอเป็นสาเหตุของอุบัติต่างๆ เชื่อว่าเซลล์สมองหากไม่ได้นอนจะขาดพลังงานและมีของเสียคั่ง นอกจากนั้นการนอนหลับสนิทจะทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโต (growth hormone)
จะปรึกษาแพทย์เมื่อไร
ถ้าหากอาการนอนไม่หลับเป็นมากกว่า 1 สัปดาห์ หรือทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในเวลากลางวัน ก่อนพบแพทย์ควรทำตารางสำรวจพฤติกรรมการนอนประมาณ 10 วันเพื่อให้แพทย์วินิจฉัย ในการรักษาแพทย์จะแนะนำเรื่องการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการนอน ถ้าไม่ดีจึงจะให้ยานอนหลับ
การนอนหลับอย่างพอเพียงทั้งระยะเวลา และคุณภาพของการนอนหลับจะเป็นปัจจัยในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีเหมือนกับการรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ และการออกกำลังกาย 
ข่าวที่น่าสนใจ

http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/neuro/insomnia/index.htm#.USzCRKJdB8E






6 วิธีเพิ่ม IQ ให้สมองฉลาด

1. ช็อกโกแลตช่วยได้

ดื่มช็อกโกแลตร้อนๆ แล้วคุณอาจรู้สึกกระปรี้กระเปร่าราวกับได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ลองเปลี่ยนจากกาแฟแก้วเดิมมาเป็นช็อกโกแลตหอมกรุ่น จะช่วยให้สมองมีพลังวังชาขบคิดปัญหาเครียสๆ แบบผู้ใหญ่ได้ดีทีเดียว นักวิจัยมหาวิทยาลัยนอตติงแฮมพบว่า สารฟลาโวนอยด์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในช็อกโกแลตที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองใด้นานถึง 3 ชั่วโมง นพ.เอียน แมคโดนัลด์ หัวหน้าทีมวิจัย เปิดเผยว่าข้อดีของช็อกโกแลตคือ ช่วยฟื้นฟูการทำงานของสมองในช่วงที่การรับรู้ของคนเราจะแย่ลง เช่น ในขณะที่เหนื่อยล้าหรือนอนน้อย ยิ่งถ้าเป็นดาร์คช็อกโกแลตก็จะยิ่งมีฟลาโวนอยด์เข้มข้นขึ้น ลองซดช็อกโกแลตอุ่นๆ สักแก้วก่อนเข้าประชุม 10 โมงเช้ารับรองว่าสมองคุณจะแล่นปรู๊ดปร๊าดเลยเชียวล่ะ

2. ดนตรีกล่อมสมอง

"ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดาลเป็นคนชอบกลนัก" ก็ขนาดคนใช้สมองเยอะๆ อย่างอาจารย์มหาวิทยาลัยหรือนักศึกษาปริญญาเอกยังนิยมฟังเพลงกันเลย ปัญญาชนเหล่านี้บอกว่าฟังเพลงคลาสสิกของบีโทเฟนแล้วทำให้สมองผ่อนคลายได้ ทว่าผลการศึกษาครั้งใหม่กลับพบว่า ไม่ว่าจะเป็นเพลงคลาสสิกอย่างโมสาร์ตหรือเฮฟวีเมทัลกระแทกหูอย่างวงสอเตอร์เฮดก็เพิ่มพลังให้สมองได้ทั้งนั้น สถาบัน วอทยาศาสตร์แห่งนิวยอร์กหรือ NYAS (New York Academy of Sciences) พบว่า การฟังดนตรีสุดโปรดไม่ว่าจะเป็นแนวไหนก็ตาม ล้วนส่งผลเชิงบวกต่อการรับรู้ ขณะที่วารสาร Nature รายงานว่า ถ้าให้ผู้เข้าทดสอบฟังเพลง 10 นาทีก่อนทำแบบทดสอบ พวกเขาจะทำคะแนนได้ดีขึ้น เห็นได้ชัดว่าดนครีมีส่วนอย่างมากต่อการเพิ่มระดับไอคิว ทีนี้คุณก็มีข้ออ้างในการควักกระเป๋าลงทุนกับเครื่องเสียงแจ่มๆ ที่ไพเราะเสนาะหูแล้วสิ
3. นั่งให้ปลอดโปร่ง
คุณเคยเป็นแบบนี้บ้างไหม ยิ่งนั่งจมปลักอยู่บนเก้าอี้ทำงานนานๆ สมองยิ่งตีบตันคิดอะไรไม่ค่อยออกเคล็ดลับหนึ่งที่ช่วยให้สมองโปร่งโล่งสบายคือ การนั่งเก้าอี้แสนสบาย ผลการศึกษาครั้งใหม่ระบุว่า เก้าอี้นั่งที่ไม่ค่อยสบายอาจทำให้ความคิดของคุณโดนปิดกั้นไปด้วย ผลการศึกษาที่มหาวิทยาลัยลันด์ในสวีเดนระบุว่า คนส่วนใหญ่ต้องเจอปัญหาเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอซึ่งเป็นผลจากการนั่งผิดท่า การบีบอัดกระดูกสันหลังด้วยการนั่งหลังค่อมขณะใช้แป่นคีย์บอร์ดจะทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองหดตัว ผลคือสมองคุณจะขาดออกซิเจน ดังนั้นการเลือกเก้าอี้ทำงานดีๆ สักตัวที่ช่วยให้คุณนั่งยืดหลังตรงได้ขณะทำงาน จึงสำคัญพอๆ กับงานบนหน้าจอของคุณเลยก็ว่าได้
4. พลังจากเนื้อ
ไม่ว่าคุณจะเป็นมนุษย์ถ้ำหรือมนุษย์ทำงานจอมแกร่งกองทับต้องเดินด้วยท้องอยู่วันยังค่ำ คุณย่อมไม่มีเรี่ยวแรงพอนัใส่เกียร์ห้าหนีเสือป่าที่จ้องจะขย้ำคอหรือเคาะตัวเลขในรายงานการขายให้สวยหรูได้แน่ถ้าท้องคุณร้องโครกครากดังเซ็งแซ่แบบนี้ การหม่ำเบอร์เกอร์ดีๆ เติมกระเพาะและพลังงานให้สมองย่อมช่วยได้ ซีโมน พาร์กินสัน นักโภชนาการ แนะนำว่า "เนื้อลูกแกะอุดมไปด้วยธาตุเหล็กและวิตามินบี 12 ซึ่งดีต่อการฟื้นฟูสมองที่อ่อนล้าให้กลับมากระปรี้กระเปร่า และถ้าได้แซมไข่แดงลงไปในเบอร์เกอร์ คุณจะได้โคลีนไปเสริมสร้างการรับรู้ของสมอง ส่วนผักต่างๆ จะช่วยป้องกัยการเกิดภาวะเครียสจากการที่ร่างกายมีสารอนุมูลอิสระมากเกินไป"
5. กินหนึ่งได้ถึงสอง
บางคนที่ไปยิมนอกจากจะเวิร์กเอาต์ให้ได้รูปร่างสมส่วน ยังอาจกินอาหารเสริมควบคู่กันไปเพื่อบำรุงกล้ามเนื้อ สำหรับใครที่เลือกอาหารเสริมเป็นครีเอทีนขอบอกว่าคุณตาแหลมมาก เพราะผลการศึดษาครั้งใหม่พบว่า ครีเอทีนไม่ใช่แค่ดีกับกล้ามเนื้อเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อสมองของคุณ เพราะทั้งช่วยเสริมสร้างสมาธิและความสามารถในการประมวลผลข้อมูลและตัวเลขต่างๆ พญ.แคโรไลน์ เร จากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ บอกว่า "อาหารเสริมชนิดนี้เพิ่มพลังให้สมองสามารถรับมือกับงานด้านการคำนวณ ตลอดจนกระบวนการคิดต่างๆ ให้ดีขึ้น" อาหารเสริมในรูปแคปซูลจะมีปริมาณครีเอทีนต่อหน่วยน้ำหนักมากกว่าแหล่งอื่นๆ ดังนั้นพกแคปซูลครีเอทีนติดตัวไปกินตอนเวิร์กเอาต์ช่วงเที่ยงก็เข้าท่าดี เพราะนอกจากจะทำให้สมองปราดเปรื่องแล้วยังทำให้กล้ามคมโตสมใจอีกต่างหาก

6. หลับฟื้นความจำ 
นี่คงเป็นข่าวดีสำหรับคนชอบนอน เพราะการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอทำให้คุณฉลาดขึ้น ผลการศึกษาร่วมระหว่างคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย พบว่า การนอนหลับพักผ่อนช่วยกระตุ้นให้คุณดึงความทรงจะในเรื่องที่พึ่งเรียนรู้ไปไม่นานกลับคืนมาได้ แม้ว่าความทรงจำนั้นจะถูกแทนที่ด้วยข้อมูลใหม่ๆ ไปแล้วหลายชั่วโมงก็ตาม นพ.เจฟฟรีย์ เอลเลนโบเกน หัวหน้สทีมวิจัย บอกว่า "นี่แสดงให้เห็นว่า การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงช่วยปกป้องความจำแต่ยังมีบทบาทสำคัญในการเก็บรวบรวมความทรงจำเข้าด้วยกันอีกด้วยครับ" พูดง่ายๆ คือ ความทรงจำในสมองไม่แตกแถวนั่นเอง นักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดพบว่า หมอนก็มีผลต่อการนอนเช่นกัน เพราะหมอนที่รองรับสรีระร่างกายในขณะที่หลับได้ดี จะช่วยลดปัญหาการหายใจซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการหลับที่ต่อเนื่องยาวนาน ใครที่อยากนอนหลับสนิทและตื่นขึ้นมารับวันใหม่ด้วยความสดชื่นสมองแจ่มใส เห็นทีต้องลองใช้หมอนเมโมรีโฟม (Memory Foam) ซึ่งทำจากวัสดุเมโมรีโฟมที่ผ่านกระบวนย่อยเป็นปุยๆ ชิ้นเล็กๆ เสมือนเส้นใยไฟเบอร์ที่มีคุณสมบัติอ่อนนุ่มและแน่น

 โดย :บัลลังค์ดอร์ สมาชิกไอดีที่ 116331) โพสเมื่อ [ วันพฤหัสบดี ที่ 23 เมษายน 2552 เวลา 14:36 น.]

กาลิเลโอ
มนุษย์นอกศาสนา ผู้ค้นพบความลับของพระเจ้า


                    ครั้งหนึ่ง ในประเทศอิตาลีได้เกิดข่าวใหญ่ เป็นที่สั่นสะเทือนทั้งในวงการวิทยาศาสตร์ และศาสนาอย่างมาก เพราะได้มีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง จะแสดงการทดลองให้เห็นว่า คำสอนของอริสโตเติล ซึ่งทางศาสนาได้ยึดถือ เป็นคำสอนสืบมานั้นผิดโดยสิ้นเชิง ในวันนั้น ประชาชนมารวมกัน อยู่ที่ลานหน้าหอเอนแห่งเมืองปิซา อย่างมืดฟ้ามัวดิน เพื่อคอยดูว่า ผู้ใดที่บังอาจจะท้าทาย กับความตายอย่างน่ากลัวเช่นนั้น เพราะในสมัยนั้นไม่ว่าใครก็ตาม ถ้าแสดงความเห็นขัดแย้ง กับคำสอนของศาสนาแล้ว จะต้องถูกจับเผาไฟทั้งเป็น ผู้ที่กล้าท้าทายความตาย อันน่าหวาดเสียวนี้ ก็ได้แก่ นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของอิตาลี เขาคือ กาลิเลโอ (Galileo)
                    กาลิเลโอ กาลิเลอี ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ นักปรัชญาเมธีชาวอิตาเลียนผู้นี้ เกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1564 ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับ วิลเลียม เช็คสเปียร์ (William Shakespeare) จินตกวีของอังกฤษ บิดาของเขาชื่อ วินเซนซิโอ กาลิเลอี (Vincenzio Galilei) ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากครอบครัวผู้ดีสมัยเก่า แต่ไม่ค่อยจะมีเงินทองมากนัก บิดาของกาลิเลโอเป็นนักคณิตศาสตร์ นักดนตรี และนักเขียนที่มีชื่อเสียงเหมือนกัน ทั้งยังเป็นพ่อค้าขนสัตว์อีกด้วย บิดาของเขาเกิดที่เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) แต่ตัวกาลิเลโอเกิดที่เมืองปิซา ขณะที่อยู่ในวัยเด็กได้รับการศึกษาเบื้องต้นที่บ้าน ต่อมาจึงได้ไปศึกษาอยู่กับวัด สมัยที่ยังเยาว์วัย กาลิเลโอมีความสามารถเป็นพิเศษในทางดนตรี สนใจในด้านศิลปะภาพเขียน และคณิตศาสตร์ แต่บิดาของเขาไม่สนับสนุนในเรื่องนี้ บิดาของเขาตั้งใจจะให้เขาศึกษาแพทย์ เพราะการเป็นแพทย์ในสมัยนั้นหาเงินได้ง่าย และเป็นที่ยกย่องของคนทั่วๆ ไป ด้วยเหตุนี้เองบิดาจึงได้ส่งเขา ไปเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเมืองปิซา พยายามให้ศึกษาในวิชาการด้านนี้ และให้หลีกห่างจากวิชาคณิตศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะต่อมาไม่นาน เมื่อกาลิเลโอได้ไปฟังการสอนเรขาคณิต ในมหาวิทยาลัยก็เกิดติดใจ จึงหันไปเรียนคณิตศาสตร์ ควบคู่ไปกับวิชาวิทยาศาสตร์
                    เมื่อ ค.ศ.1584 กาลิเลโออายุได้ 20 ปี และเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเมืองปิซา วันหนึ่ง เมื่อเขานั่งสวดมนต์อยู่ในโบสถ์ เขาได้สังเกตเห็นว่า โคมไฟที่แขวนไว้บนเพดานโบสถ์แกว่งไปมา เขารู้สึกว่าการแกว่งไปมาของโคมไฟนั้น กินเวลาเท่ากัน แต่เนื่องจากเขาเป็นคนที่ชอบทดลองค้นคว้า ไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆ ดังนั้น เขาจึงหาทางทดลองให้ทราบว่า ระยะเวลาของการแกว่งไปมาของโคมไฟนั้น ไม่ว่าจะมีช่วงสั้นหรือยาวก็ตาม จะต้องกินเวลาเท่ากัน ขณะนั้นเขาไม่ทราบว่า จะไปเอานาฬิกาที่ไหนมาจับเวลาได้ แต่เขาทราบความจริงว่า ชีพจรของคนเรานั้น เต้นแต่ละครั้งกินเวลาเท่ากัน ดังนั้น เขาจึงทดลองจับชีพจรดู ในขณะที่โคมไฟแกว่งไปมา หลังจากทำการทดลองอยู่หลายครั้ง เขาจึงแน่ใจว่า การแกว่งของโคมไฟ เป็นไปตามความคิดของเขา ต่อมาเขาได้กลับไปทดลองเกี่ยวกับเรื่อง การแกว่งของลูกตุ้มนี้ที่บ้านอีก ก็ได้พบความจริงเช่นเดียวกัน และได้อาศัยหลักอันนี้เอง กาลิเลโอได้สร้างเครื่องมือวัดการเต้นของชีพจร โดยอาศัยตุ้มน้ำหนักแขวนกับเชือก เป็นเครื่องมือจับเวลา ต่อมาคริสเตียน เฮอย์เกนส์ (Christian Huygens) ได้คิดสร้างนาฬิกาขึ้น โดยอาศัยหลักตุ้มแกว่งเป็นผู้ควบคุมเวลา จึงนับได้ว่ากาลิเลโอ เป็นต้นคิดและผู้ออกแบบตุ้มของนาฬิกา เป็นคนแรก
                    ในปี ค.ศ.1585 กาลิเลโอ เกิดขัดสนในเรื่องเงินทอง ไม่สามารถจะศึกษาต่อไปได้ จึงได้เดินทางกลับไปอยู่ที่ฟลอเรนทีน อาคาเดมี (Florentine Academy) ในเมืองฟลอเรนซ์ และศึกษาด้วยตนเอง ณ ที่นี้เอง กาลิเลโอได้วิจารณ์ Law of Motion ของ Aristotle เป็นครั้งแรก ในปี ค.ศ.1586 กาลิเลโอก็ได้พิมพ์ผลงานของเขา เกี่ยวกับเรื่องตาชั่ง ที่เรียกว่า Hydrostatic Balance ทำให้ประชาชนรู้จักเขามากขึ้น ต่อมา Marchese Guidubaldo Del Monte แห่ง Pesaro ซึ่งเป็นผู้มีบุญคุณแก่เขา ได้ขอร้องให้เขาเขียนหนังสือขึ้นอีกเล่มหนึ่ง เกี่ยวกับจุดศูนย์ถ่วงของของแข็ง (Centre of Gravity of Solid) หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ที่ทำให้ชื่อเสียงของกาลิเลโอโด่งดังยิ่งขึ้น และในปี ค.ศ.1588 กาลิเลโอได้รับเชิญ ให้ดำรงต่ำแหน่งศาสตราจารย์ผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยเมืองปิซา ซึ่งขณะนั้น กาลิเลโอเพิ่งจะมีอายุได้ 24 ปี ยังไม่มีปริญญา และชื่อเสียงก็ยังไม่ได้โด่งดัง เท่ากับศาสตราจารย์อื่นๆ และออกจะหนุ่มเกินไป ยังไม่ค่อยได้รับความเชื่อถือเท่าไรนัก
                    ในขณะที่เขาอยู่ในมหาวิทยาลัยปิซา ในระหว่าง ค.ศ.1589 ถึง 1591 เขาได้นำเอาทฤษฎีของอริสโตเติล ที่กล่าวว่า ของเบาจะตกถึงพื้นดินช้ากว่าของหนัก เช่น ใบไม้จะตกถึงพื้นดินช้ากว่าก้อนหิน กาลิเลโอไม่ยอมเชื่อในความคิดอันนี้ เขาให้เหตุผลว่า ความคิดของอริสโตเติล ไม่ถูกต้อง การที่ก้อนหินกับใบไม้ตกถึงพื้นไม่พร้อมกัน และใบไม้ตกช้ากว่า ก็เพราะว่าอากาศช่วยต้านทานไว้ ถ้าไม่มีอากาศแล้ว ก้อนหินและใบไม้ก็ย่อมจะตกถึงพื้นดินพร้อมกัน เมื่อเขาได้นำเอาความคิดของเขา ไปแถลงในมหาวิทยาลัย ก็มีทั้งผู้ที่เห็นด้วย และพวกที่ไม่เห็นด้วย พวกที่ไม่เห็นด้วย ได้แก่ พวกหัวเก่า ซึ่งเชื่อในคำสอนของศาสนา เพื่อที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า ความคิดของพวกเขาเป็นความจริง กาลิเลโอจึงได้ประกาศว่า จะทำการทดลองให้ดูที่หอเอน แห่งเมืองปิซา
                    ครั้นเมื่อถึงเวลาทดลอง กาลิเลโอก็ขึ้นไปบนหอเอนแห่งเมืองปิซา นำเอาก้อนตะกั่วกลมหนัก 20 ปอนด์ และ 10 ปอนด์ สองก้อนติดตัวขึ้นไปด้วย เมื่อถึงยอดหอเอน เขาก็โยนก้อนตะกั่วทั้งสองก้อนลงมาข้างล่าง ปรากฏว่าตะกั่วทั้งสองก้อนตกลงถึงพื้นดินพร้อมกัน ท่ามกลางสายตาของนักศึกษา ศาสตราจารย์ และประชาชนอีกมากมาย ฝ่ายที่เป็นพวกกาลิเลโอ ก็พากันโห่ร้องด้วยความยินดี แต่ฝ่ายตรงกันข้ามมองด้วยความแค้นเคือง การทดลองครั้งนี้ แม้ว่ากาลิเลโอจะประสบความสำเร็จ แต่ก็เป็นการก่อศัรูขึ้นอีกหลายคน ด้วยเหตุผลนี้เองในที่สุด กาลิเลโอก็ทนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ไม่ได้ เขาจึงลาออกเมื่อปี ค.ศ.1591
                    ต่อมากาลิเลโอ ไปได้งานใหม่เป็นศาสตราจารย์ อยู่ที่มหาวิทยาลัยปาดัว (University of Padua) และอยู่ที่นี้เป็นเวลา 18 ปี ในระหว่างนี้เขาได้ทำการทดลอง หาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ อีกหลายอย่าง โดยไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพล ของศาสนาคริสต์ในขณะนั้น ในเรื่องของตกจากที่สูง เขาไม่ได้ทดลองแต่เพียงว่าของสองสิ่ง ซึ่งเบาและหนักตกจากที่สูง ถึงพื้นดินพร้อมกันเท่านั้น แต่เขายังได้ทดลองต่อไปอีก จนในที่สุดก็พบความจริงว่า วัตถุตกลงถึงพื้นดินนั้น จะมีความเร็วเพิ่มขึ้นทุกๆ วินาที และความจริงอันนี้เองได้เป็นแนวทาง ให้แก่นิวตัน (Newton) ค้นพบเรื่องความเร่งและได้บันทึกไว้ในหนังสือ Principia ของเขา
                    ต่อมากาลิเลโอ ได้ทดลองและค้นพบความจริง เกี่ยวกับเรื่องของระยะการยิงปืนใหญ่ เขาทดลองพบว่าลูกปืนใหญ่ ที่ยิงออกจากปากกระบอกไปแล้ว ความเร็วจะค่อยๆ เปลี่ยนไป แล้วจะค่อยๆ ตกลงสู่พื้นดิน และพบความจริงอีกว่า วิถีกระสุนของปืนใหญ่จะเป็นวิถีโค้ง ด้วยความจริงอันนี้เอง ทางทหารได้นำไปใช้ในการคำนวณ กะระยะที่ลูกปืนใหญ่ตก
                    ดังนั้น จึงนับได้ว่ากาลิเลโอ เป็นผู้ที่ทำการทดลองทำให้เกิดหลักเกณฑ์ ในทางวิชาพลศาสตร์ (Dynamic) ซึ่งเป็นวิชากลศาสตร์แขนงหนึ่ง ที่ว่าด้วยวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่
                    ในเรื่องเกี่ยวกับจักรวาลนั้น กาลิเลโอเชื่อตามทฤษฎีของคอเพอร์นิคัส (Copernicus) แต่ก็ไม่สามารถจะทดลองให้เห็นจริงได้ เพราะขาดเครื่องมือ ต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1609 ขณะที่กาลิเลโออยู่ที่เมื่องเวนิช ก็ได้ยินข่าวเลื่องลือกันว่า ที่ประเทศฮอลแลนด์ ได้มีผู้สร้างกล้องโทรทรรศน์ (Telescope) ขึ้นได้แล้ว เขาเองก็กำลังมีความสนใจเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นในเดือนมกราคม ค.ศ.1610 เขาจึงสร้างกล้องโทรทรรศน์ขึ้นเป็นครั้งแรก มีกำลังขยายเพียง 3 เท่า ต่อมาเขาพยายามปรับปรุงทำจนกระทั่ง มีกำลังขยายได้ถึง 32 เท่า ใช้ส่องดูดาวบนท้องฟ้า เขาได้พบความจริงหลายอย่าง เช่น ผิวของดวงจันทร์ไม่เรียบอย่างที่เห็นด้วยตาเปล่า ผิวของดวงจันทร์ขรุขระ เช่นเดียวกับผิวของโลก มีภูเขาและหุบเขา เขาได้ค้นพบว่าดาวเคราะห์ ต่างกับดาวฤกษ์ พวกดาวเคราะห์มีลักษณะเหมือนดวงจันทร์ ส่วนดาวฤกษ์นั้น มีแสงสว่างพุ่งออกมา
                    เกี่ยวกับทางช้างเผือก Milky Way กาลิเลโอก็พบว่าประกอบด้วยดาวเล็กๆ เป็นจำนวนมากมาย เมื่อ ค.ศ.1610 กาลิเลโอก็ได้พบว่าดาวพฤหัสบดี (Jupiter) มีดวงจันทร์เป็นบริวารถึง 4 ดวง ต่อมาเขาได้พบว่าดาวเสาร์ (Saturn) มีวงแหวน มีสีต่างกันถึง 3 แถบ และดาวศุกร์ (Venus) เว้าแหว่งคล้ายกับดวงจันทร์ และได้พบจุดดำ (Sun Spot) ในดวงอาทิตย์
                    การค้นพบปรากฏการณ์ต่างๆ บนท้องฟ้าด้วยกล้องดูดาว ของกาลิเลโอนี้เอง ทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดัง มาจนกระทั่งทางเมืองเวนิส ได้ส่งคนมาเชิญเขาไปบรรยาย เกี่ยวกับการค้นพบ และการสร้างกล้องโทรทรรศน์ของเขาด้วย กาลิเลโอจึงได้เดินทางไปยังเมืองเวนิส และนำเอากล้องโทรทรรศน์ของเขาไปด้วย เขาได้ทำการทดลองให้เจ้าเมือง และบรรดาขุนนางผู้ใหญ่ดู โดยเอากล้องไปตั้งไว้บนหอคอยของโบสถ์ กลางเมืองเวนิส แล้วส่องให้ดูเรือต่างๆ ที่แล่นเข้ามาในปากอ่าว ปรากฏว่าเห็นได้ชัดเจนดี ยังความตื่นเต้นให้แก่เจ้าเมือง และขุนนางเหล่านั้นอย่างใหญ่หลวง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ถูกพวกที่เชื่อถือในทฤษฎี ของอริสโตเติลต่อต้านอย่างมาก พวกนี้พยายามยุแหย่ และทำให้เขวไปในทางต่างๆ แต่พวกนี้ก็ทำอะไรเขาไม่ได้
                    ต่อมาใน ค.ศ.1610 กาลิเลโอได้ออกจากเมืองปาดัว (Padua) ไปอยู่ยังเมืองฟลอเรนซ์ โดยเป็นนักปราชญ์ประจำราชสำนักของ Grand Duke
                    ณ ที่นี้เองเขาจึงได้มีเวลา ที่จะทำการค้นคว้าทดลอง และวิจัยเกี่ยวกับทางดาราศาสตร์ และกล้องโทรทัศน์ของเขา นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสแสดงปาฐกถาในที่ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องความรู้ใหม่ๆ ทางวิทยาศาสตร์ แต่เมืองนี้อยู่ภายใต้อิทธิพลของกรุงโรม และศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นพวกที่เชื่อถือ ตามความคิดของคริสโตเติลด้วย เหตุนี้เองบรรดาพวกศาสตราจารย์ต่างๆ และพวกที่ยังเชื่อถือ ในความคิดของคริสโตเติล ได้ทำตัวเป็นศัตรูกับกาลิเลโอ ได้พยายามยุยงและปลุกปั่นต่างๆ นานา ไปยังกรุงโรม โดยหาว่ากาลิเลโอดูหมิ่นศาสนา ในที่สุดกาลิเลโอก็ถูกควบคุมตัว ไปแถลงความมุ่งหมายในการสอนคนทั่วไป เกี่ยวกับจักรวาลต่อหน้าโป๊บ กาลิเลโอได้แถลงความจริงใจของเขาต่อหน้าโป๊บ แสดงถึงเจตนาที่แท้จริงของเขาว่า ต้องการให้ประชาชนเข้าใจความจริง ไม่ได้มุ่งหมายจะขัดขวาง หรือยุยงให้ผู้คนไม่เชื่อถือในศาสนา ในครั้งแรกโป๊บก็เห็นใจเขา และเข้าใจเขาทุกอย่าง แต่เมื่อถูกยุยงมากๆ เข้า โป๊บก็คล้อยตามไปในฝ่ายตรงกันข้ามกับกาลิเลโอ จึงได้สั่งห้ามไม่ให้กาลิเลโอ ทำการสอนวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ แก่ประชาชนอีก ถ้าไม่เชื่อก็จะถูกลงโทษทรมาน โดยการเผาไฟทั้งเป็น ในที่สุดเมื่อไม่มีทางใดจะหลีกเลี่ยงได้ กาลิเลโอจึงต้องยอมสัญญาว่าเขาจะไม่สอนใครๆ อีก เขาจึงถูกปล่อยตัวกลับเมืองฟลอเรนซ์
                    ใน ค.ศ.1661 เมื่อเขาถูกเรียกตัว ไปแก้ข้อหาเรื่องหมิ่นศาสนานั้น เขาได้นำเอากล้องโทรทัศน์ของเขาติดตัวไปด้วย และได้นำไปแสดงให้แก่ประชาชน ในกรุงโรมดูด้วย นอกจากนั้นเขายังได้เขียนหนังสือ เกี่ยวกับจุดดำในดวงอาทิตย์ ในหนังสือ Letters on The Solar Spots ซึ่งอธิบายทัศนะเก่า และทัศนะใหม่เกี่ยวกับระบบสุริยะ และเขาเชื่อในระบบสุริยะ ของโคเปอร์นิคัสซึ่งเชื่อว่า โลกและดาวเคราะห์ หมุนรอบดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง ของระบบสุริยะ ความจริงเรื่องนี้ กาลิเลโอไม่ได้มีเจตนาจะดูหมิ่นศาสนาคริสต์เลย
                    การกลับมายังเมืองฟลอเรนซ์คราวนี้ กาลิเลโอต้องระมัดระวังตัว ทั้งด้านการพูดจา การสอน และการเขียนหนังสือ เพื่อที่จะไม่ให้ขัดกับคำสอนของศาสนา เขาได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบเป็นเวลา 7 ปี ในระหว่างนี้เขาได้ทำการศึกษาค้นคว้า เกี่ยวกับดาวหาง และได้แสดงให้เห็น ว่าความเข้าใจที่ว่า ดาวหางเกิดจากแสงอาทิตย์ เช่นเดียวกับรุ้งกินน้ำนั้น เป็นความเข้าใจที่ผิด ต่อมาในปี ค.ศ.1632 เขาได้เขียนหนังสือขึ้นอีกเล่มหนึ่งชื่อว่า Dialogo Dei Due massimi Sistemi Del Mondo การที่เขากล้าเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้น ก็เพราะว่าโป๊ปองค์เก่าได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว เขาจึงคิดว่าจะหาทางที่จะทำความเข้าใจ กับโป๊ปองค์ใหม่ได้ หนังสือเล่มนี้ได้เขียนขึ้นตามทฤษฎีของโคเปอร์นิคัส และได้พิสูจน์ทฤษฎีต่างๆ ไว้อย่างชัดเจน แต่ว่าข้อความส่วนมาก ตรงกันข้ามกับคำสอนของศาสนา หนังสือเล่มนี้ ประชาชนกระหายจะอ่านมาก แต่ฝ่ายศัตรูของกาลิเลโอ ก็พยายามยุยงโป๊ปองค์ใหม่ต่างๆ นานา จนในที่สุดหนังสือเล่มนี้ ก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้นำเขาไปขายในอิตาลีอย่างเด็ดขาด นอกจากนั้น เขายังถูกเรียกตัวไปแก้คดีต่อหน้าโป๊ป ที่กรุงโรมอีกครั้งหนึ่ง และถูกขู่ว่าถ้ายังขืนทำอย่างที่แล้วๆ มาอีก จะต้องถูกทรมานอย่างแน่นอน เขาถูกปล่อยให้เป็นอิสระอีกครั้งหนึ่ง หลังจากได้สาบานว่า จะไม่ทำอะไรเป็นที่ขัดกับคำสอนของพระเจ้า ถึงแม้เขาจะได้รับอิสระภาพแล้วก็ตาม แต่เขายังต้องตกอยู่ในความควบคุม ดูแลของบาทหลวงแอสคานิโอ พิคโคโลมินิ (Ascanio Piccolomini)
                    ต่อมาในปี ค.ศ.1636 เขาได้เขียนหนังสือขึ้นอีกเล่มหนึ่ง เกี่ยวกับการค้นคว้าและทดลองต่างๆ ในวิชากลศาสตร์ หนังสือเล่มนี้ได้พิมพ์ขึ้นจำหน่าย ในปี ค.ศ.1638 ที่เมืองเบย์เดน (Beyden) หนังสือเล่มนี้ เป็นที่สนใจกันมากกว่า หนังสือเล่มเก่าของเขาเสียอีก ในเรื่องเกี่ยวกับกลศาสตร์นี้ กาลิเลโอเป็นคนแรกที่ได้แถลงถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับแรงงาน และเรื่องของการเคลื่อนที่ ซึ่งเป็นหลักที่จะนำทางให้กับนิวตัน เขายังได้นำวิชาคณิตศาสตร์ ไปใช้ในวิชากลศาสตร์ เช่น ในเรื่องเกี่ยวกับของตกจากที่สูง เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นผู้แถลงเกี่ยวกับกฎการสมดุล การเคลื่อนที่บนพื้นระนาบ เรื่องราวของ Momentum เรื่องของ Hydrostatic เช่นเดียวกับกาลักน้ำ เป็นต้น
                    ในด้านดาราศาสตร์ เขาได้พบการโคจรของดวงจันทร์ และดาวพฤหัสบดี และใช้ความรู้ ทางดาราศาสตร์ วัดเส้นแวงบนพื้นดินและทะเล และพบจุดดำบนดวงอาทิตย์ และยังได้พบอีกว่า ดวงจันทร์หมุนรอบโลกในเวลา 1 เดือน เมื่อ ค.ศ.1639 และต่อจากนั้นอีกราว 2 - 3 เดือน กาลิเลโอก็ตาบอดหลังจากนั้นกาลิเลโอ ก็ใช้เวลาในบั้บปลายของชีวิต ถ่ายทอดวิชาความรู้ ให้แก่ศิษย์คนโปรดของเขาคือ ทอริเซลลิ (Torricelli) และวิเวียนนิ (Viviani) ในระยะนี้กาลิเลโอก็ล้มป่วยออดๆ แอดๆ เรื่อยมา และถึงแก่กรรมเมื่อปี ค.ศ.1642 ทิ้งความคิดอ่านใหม่ๆ ทางวิทยาศาสตร์ไว้ให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังๆ ค้นคว้ากันต่อไป ศพของเขาได้นำไปฝังไว้ที่สุสาน ณ โบสถ์ Church of Santa Croce ในกรุงฟลอเรนซ์ และหลังจากนั้นอีก 50 ปีต่อมา ได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ของเขาขึ้น ไว้เป็นเกียรติยศแก่เขาที่โบสถ์แห่งนั้น      

อ้างอิงโดย http://www.baanjomyut.com/library/5_great/albert.html

    

ยอดอัจฉริยะ เจ้าของทฤษฎีสัมพัทธภาพ


    วันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ.1936 นักฟิสิกส์ชื่อ อัลเบิร์ต ไอน์ไตน์ ในนามของนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่ง ได้ยื่นสารที่เขาเรียกว่า " จดหมายจากมโนธรรม " ถึงประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ แฟรงคลิน ดี รูลเวลต์ เพื่อกระตุ้นให้รัฐบาลตระหนักถึง การแผ่อำนาจของนาซี และเตือนภัยถึงระเบิดอะตอม (atomic bomb หรือที่เคยเรียกกันว่า ระเบิดปรมาณู) ที่ฮิตเลอร์พยายามจะมีไว้ในครอบครอง
                    จดหมายดังกล่าว มีใจความตอนหนึ่งว่า " มีสถานการณ์บางอย่าง (ซึ่งเริ่มขึ้นแล้ว) ที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด และฝ่ายบริหารต้องดำเนินการ อย่างเร่งด่วนหากจำเป็น "   หรืออีกตอนหนึ่งว่า   " ในช่วง 4 เดือนที่แล้ว มีความพยายามที่จะสร้างปฏิกิริยาลูกโซนิวเคลียร์ กับยูเรเนียมในปริมาณมาก ซึ่งจะก่อให้เกิดพลังงานมหาศาล รวมทั้งธาตุใหม่ ที่เหมือนยูเรเนียมเป็นจำนวนมาก "
                   ไอน์สไตน์เตือนว่าในไม่ช้า นักฟิสิกส์เยอรมัน จะสร้างระเบิดชนิดใหม่ที่ " ทรงพลังยิ่ง "  เขาเขียนไว้ว่า   " หากระเบิดชนิดนี้เพียงลูกเดียว เกิดระเบิดขึ้นขณะขนถ่ายที่ท่าเรือ มันก็จะทำลายท่าเรือจนสิ้นซาก รวมทั้งแถบปริมณฑลด้วย "
                    เมื่อได้รับจดหมายฉบับดังกล่าว ประธานาธิบดีรูสเวลต์ได้แต่งตั้ง " คณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยยูเรเนียม "  ในทันที แต่สหรัฐฯ ยังไม่มีทีท่าจะตัดสินใจสร้างระเบิดอะตอม จนกระทั่งเดือนธันวาคม ค.ศ.1941 หลังจากญี่ปุ่น โจมตีฐานทัพเรือสหรัฐฯ ที่อ่าวเพิร์ลฮาเบอร์ ในฮาวายได้ไม่นาน ก็ทำให้สหรัฐฯ ต้องเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2

                   ไอน์สไตน์เพียงร่วมยื่นจดหมายเตือนครั้งนั้น แต่เขามิได้มีส่วน ในการพัฒนาการสร้างระเบิดอะตอม มีการทดลองระเบิดอะตอมเป็นผลสำเร็จ ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1945 และในเดือนต่อมา ก็มีการทิ้งระเบิดอะตอมที่เมืองฮิโรชิมา และเมืองนางาซากิของญี่ปุ่น ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมหันต์ทั้งๆ ที่จุดประสงค์เพียงเพื่อบังคับให้ญี่ปุ่นยอมแพ้
                    เมื่อไอน์สไตน์รู้ข่าวการระเบิด และผู้คนที่ต้องตายไปจำนวนมหาศาล เขาถึงกับเอามือกุมศีรษะ และอุทานอย่างปวดร้าวว่า  " โธ่? ไม่น่าเลย "
                    ในปี ค.ศ.1905 เมื่อไอน์สไตน์อายุ 26 ปี เขาได้ตีพิมพ์การค้นพบสมการ 
E = mc 2(E คือพลังงาน  m คือมวล  c คือความเร็วของแสง) ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามวลขนาดเล็ก สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานมหาศาลได้ สมการนี้นำไปสู่การสร้างระเบิดอะตอม ซึ่งเป็นเรื่องที่ทิ่มแทงจิตสำนึก ของไอน์สไตน์มาตลอด 20 ปีสุดท้ายของชีวิต
                    อัลเบิร์ต ไอน์สไต์ เกิดที่เมืองอูล์มในเยอรมนี เมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ.1879 ในปีต่อมา ครอบครัวของเขาย้ายมาอยู่ที่มิวนิก บิดาและลุงของไอน์สไตน์เปิดโรงงานวิศวกรรม และไฟฟ้าเล็กๆ ขึ้นที่นี่ ไอน์สไตน์เริ่มสนใจการทำงานของโลกรอบตัว ระหว่างล้มป่วยเมื่ออายุเพียง 4 ขวบ บิดาของเขาให้เข็มทิศแม่เหล็กไว้เล่นอันหนึ่ง ซึ่งทำให้หนูน้อยพิศวงมาก เพราะไม่ว่าจะหันเข็มทิศไปทางใด เข็มก็จะชี้ไปทางเหนือตลอดเวลา พออายุ 6 ขวบ มารดาก็ส่งเสริมให้เรียนดนตรี ต่อมาไอน์สไตน์ชอบเล่นไวโอลินเป็นชีวิตจิตใจ เขาโปรดปรานเพลงของโมซาร์ต ไอน์สไตน์เก่งคณิตศาสตร์มาก อายุ 11 ปี เขาเรียนวิชาฟิสิกส์ เทียบเท่าระดับมหาวิทยาลัย เขายังเรียนภาษาละติน กรีก และฝรั่งเศสด้วย แต่น่าแปลก ที่เขาอ่อนวิชาภาษาฝรั่งเศส ซึ่งต่อมาทำให้เกิดเรื่องเล่าลือว่า เขาเป็นนักเรียนหัวทึบ
                    ใน ค.ศ.1895 เมื่ออายุ 16 ปี ไอน์สไตน์สอบไม่ผ่านการคัดเลือก เข้าเรียนในสถาบันเทคนิค แห่งรัฐบาลกลางในเมืองซูริค เนื่องจากอ่อนวิชาภาษาฝรั่งเศส แต่เนื่องจากอายุถึงเกณฑ์ ที่จะต้องเข้าสอบคัดเลือก ไอน์สไตน์จึงได้รับคำแนะนำ ให้เข้าเรียนที่อื่นไปพลางก่อน แล้วค่อยสมัครสอบใหม่ในปีถัดมา ต่อมา เขาได้ประกาศนียบัตร ในแขนงวิชาทั่วไป จึงได้เข้าเรียนที่สถาบันดังกล่าว โดยไม่ต้องสอบ เขาศึกษาวิชาคณิตศาสตร์ และฟิสิกส์ ณ ที่นั้นต่อมาอีก 4 ปี
                    หลังจากเป็นครูคณิตศาสตร์ ที่ซูริคอยู่ช่วงหนึ่ง ไอน์สไตน์ก็เปลี่ยนสัญชาติเป็นสวิส ใน ค.ศ.1902 เขาได้ทำงานในสำนักงานจดทะเบียนสิทธิบัตร ของสวิสที่กรุงเบิร์นในฐานะ " ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคระดับ 3 ระยะทดลองงาน "  ใน ค.ศ.1905 ระหว่างทำงานที่นั่น เขาได้ตีพิมพ์เอกสารงานวิจัย 4 ฉบับ ที่สำคัญยิ่ง ซึ่งมีภาคแรกของทฤษฏีสัมพัทธภาพ (Theore of Relativity) รวมอยู่ด้วย ทฤษฎีภาคแรกนี้มีชื่อว่า  " ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ "

                   ไอน์สไตน์เสนอไว้ในทฤษฎีสัมพัทธภาพว่า มวลและพลังงานสามารถเปลี่ยนสภาพ ซึ่งกันและกันได้ โดยสรุปเป็นสมการทางคณิคศาสตร์ว่า E = mc 2 การค้นพบของไอน์สไตน์ นำไปสู่การสร้างระเบิดอะตอม รวมทั้งไขปริศนาว่าดวงอาทิตย์ส่องแสงอย่างไร ทั้งสองเรื่องนี้ต่างก็ต้องอาศัยเวลา กระบวนการของปฏิกิริยานิวเคลียร์ ซึ่งจะทำให้มวลของนิวเคลียร์ เพียงน้อยนิดสามารถปลดปล่อยพลังงานแสง และความร้อนออกมาได้มหาศาล
                    ใน ค.ศ.1909 ไอน์สไตน์ ลาออกจากสำนักงานจดทะเบียนสิทธิบัตร และสอนฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยในเบิร์น ซูริค และปรากอยู่ 2 - 3 ปี และสุดท้ายที่เบอร์ลินใน ค.ศ.1914 จากนั้นอีก 2 ปี ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาก็ตีพิมพ์ทฤษฎีภาคที่ 2 คือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป
                    ใน ค.ศ.1921 ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์จากผลงาน ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก (photoelectric effect) ซึ่งพิสูจน์ว่าแสงมิได้เดินทางเป็นสายต่อเนื่อง แต่เป็น " กลุ่มก้อนคลื่น " เล็กๆ ที่แยกจากกันเรียกว่า โฟตอน (photon)
                    แม้ว่าคณะกรรมการรางวัลโนเบล มีความเห็นว่า ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ ยังเป็นเรื่องที่โต้แย้งกันอยู่ แต่ไอน์สไตน์ก็มีความมุ่งมั่น ที่จะเผยแพร่ทฤษฎีนี้ออกไป เขาเดินทางไปทั่วโลกใน 2 - 3 ปีต่อมา เพื่อกระทำในสิ่งที่เรียกว่า " ผิวปากทำนองสัมพัทธภาพ " คำกล่าวของไอน์สไตน์ที่ว่า " พระเจ้ามิได้เล่นลูกเต๋ากับจักรวาล "   ได้รับการพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์หลายครั้ง เขากล่าวคำพูดติดตลกนี้เพื่อเปรียบเปรยว่า จักรวาลมีรูปแบบของมัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะค้นพบได้หรือไม่เท่านั้น
                    ใน ปี ค.ศ.1933 ฮิตเลอร์ก้าวขึ้นมามีอำนาจในเยอรมนี ฮิตเลอร์ไม่เชื่อว่าไอน์สไตน์ (ตอนนั้นอยู่ในสหรัฐฯ) ซึ่งเป็น " แค่คนยิว " จะสามารถ ตั้งทฤษฎีสัมพัทธภาพ ขึ้นมาได้ ฮิตเลอร์ กล่าวหาว่าไอน์สไตน์ ขโมยความคิดนี้ มาจากเอกสารบางอย่าง ซึ่งพบที่ศพของนายทหารเยอรมันผู้หนึ่ง ที่ถูกฆ่าตายในสงครามโลกครั้งที่ 1 อีกเหตุหนึ่ง ที่ทำให้พวกนาซี เกลียดชังไอน์สไตน์ ก็เพราะเขาสนับสนุนลัทธิไซออนนิสซึม (Zionism) ซึ่งเป็นลัทธิของผู้ที่หาทางตั้งรัฐยิวอิสระ ขึ้นในปาเลสไตน์
                    ทหารนาซีกองจู่โจมได้เผาหนังสือ และค้นบ้านของไอน์สไตน์ ที่อยู่ใกล้กรุงเบอร์ลิน ในระหว่างที่เขาไม่อยู่ (ไอน์สไตน์ชอบเล่นเรือใบ เล่นที่แม่น้ำใกล้บ้านหลังนี้) พร้อมกับยึดสมุดบัญชีธนาคารของเขา รวมทั้งข้าวของเงินทองที่เก็บในตู้นิรภัย ของเอลซาผู้เป็นภรรยาด้วย
                    ในปีเดียวกันนั้น ไอน์สไตน์ตัดสินใจตั้งรกรากในสหรัฐฯ เขาได้รับสัญชาติอเมริกัน ใน ค.ศ.1941   11 ปีต่อมา เขาได้รับการเสนอชื่อเป็นประธานาธิบดี ของอิสราเอล แต่เขาปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่า  " ยังไร้เดียงสาเกินกว่าจะเป็นนักการเมือง "
                    ไอน์สไตน์ถึงแก่กรรมที่พรินซ์ตัน นิวเจอร์ซีย์ ในเดือนเมษายน ค.ศ.1955 จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต เขายังคงชิงชังวิธีการทำลายล้าง อันน่าสะพึงกลัว ของระเบิดนิวเคลียร์ ที่นักฟิสิกส์มีส่วนสร้างให้กับโลก เขาเคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า
                    " หากข้าพเจ้ารู้ล่วงหน้าว่าทฤษฎีของข้าพเจ้า จะนำไปสู่การทำลายล้างอย่างมหันต์เช่นนี้ ข้าพเจ้าขอเป็นช่างทำนาฬิกาเสียดีกว่า "

อ้างอิงโดย http://www.baanjomyut.com/library/5_great/albert.html

วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สมองแล่นเร็ว 5 วิธีเพิ่มพลังสมอง



บอกลาความคิดเชื่องช้าแล้วมาพัฒนาสมองให้เร็วขึ้น ด้วย 5 วิธีง่าย ๆ ที่เราสามารถทำได้และไม่ยุ่งยากอีกด้วย

1 : เริ่มวันใหม่เติมพลัง การเรียนรู้ด้วย โปรตีน จากเมนูข้าวต้ม โจ๊ก แซนด์วิช สลัด หรือซีเรียล พร้อมนม 1 แก้ว จะช่วยคงสภาวะระดับน้ำตาลในเลือดให้สูงเป็นเวลานาน ตรงกันข้าม หากมีพฤติกรรมงดอาหารเช้า จะสังเกตว่า ช่วงสายมักเริ่มหิว ไม่มีสมาธิ ขาดความฉับไวในการคิด และแก้ปัญหา
2 : จิบน้ำอุณหภูมิห้อง เพราะสมองประกอบด้วยน้ำถึง 85% และระหว่างวันร่างกายจะสูญเสียไปจากเหงื่อ และปัสสาวะ ดังนั้น จึงต้องเติมน้ำให้ร่างกายเป็นระยะ โดยควรเป็นน้ำธรรมดา ไม่เย็นจัด ซึ่งร่างกายจะดูดซึมไปใช้ในระบบหมุนเวียนเลือดได้ทันที มีผลต่อเซลล์สมองส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น
3 : สลับมือทำงาน บริหารสมอง ด้วยกิจกรรมง่าย ๆ เช่น แปรงฟัน หวีผม หรือกวาดบ้าน ด้วยมือที่ไม่ถนัด จะช่วยกระตุ้นสมองส่วนที่ไม่ค่อยได้ใช้งานให้แอคทีฟขึ้น
4: อารมณ์ดี สมองแล่น อารมณ์ขันส่งผลต่อกระบวนการคิดเชิงบวก และแก้ปัญหาในเชิงสร้างสรรค์ ในทางกลับกันถ้าอยู่ในอารมณ์เครียดเกินไป จะทำให้การประมวลข้อมูลของสมองช้า ทำความคิดแคบ
5 : เลี่ยงอดนอนทำสมองเบลอ ควรนอนหลับให้เพียงพอวันละ 6-8 ชั่วโมง โดยไม่ควรนอนคลุมโปง เพราะจะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ และลดออกซิเจน ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
ลองนำไปใช้ดูแล้วสมองคุณแล่นเร็วกว่าเดิมแน่นอน
ขอบคุณ : http://blog.eduzones.com/smartme/96614

วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เรื่องกล้วยๆ

     ถ้าพูดถึงเรื่องกล้วยแล้วกล้วยเป็นต้นไม้ที่มีประโยชน์มากที่สุดในการใช้สอยไม่ว่าหน่อ ลำต้น ผล ใบ หัวปลี เรียกว่าครบส่วนที่นำไปใช้งานได้เลยก็ว่าได้ งั้นมาดูผลของกล้วยกันมาจะช่วยเพิ่มพลังสมองอย่างไร

     กล้วยเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูงช่วยในหารรักษาโรค ช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายและที่สำคัญยัช่วยเพิ่มพลังสมองด้วย เคยมีรายงานว่า นักเรียน 200 คน ที่โรงเรียนทวิคเกนฮาม ได้คะแนนสอบดีตลอดปี เพราะการรับประทานกล้วยในมื้อเช้า ช่วงเบรก และมื้อกลางวันทุกวัน เพราะในกล้วยมีทั้ง แมกนีเซียม โพแทสเซียม วิตามินเอ วิตามินบี12 วิตามินบี 6 ธาตุเหล็ก โปรตีน และที่สำคัญกล้วยช่วยลดความเครียดและบำรุงสมอง
      นอกจากสารอาการและวิตามินต่างๆที่อยู่ในกล้วยจะมีประโยชน์มากมายต่อร่างกายและสมองและ สารอาหารที่สำคัญที่มีอยู่ในกล้วยคือ “โพแทสเซียม” เพราะโพแทสเซียมจะเข้าไปกระตุ้นสมอง ทำให้สมองรู้สึกสดชื่น กระปรี่กระเปร่า ไม่อ่อนล้า ไม่ง่วง ไม่อึน ช่วยคลายความเครียด   และทำให่สมองเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้สมองมีการตื่นตัวที่จะรับรู้สิ่งใหม่ได้ตลอดเวลา
      เมื่อรู้อย่างนี้แล้วอย่าลืมซื้อหากล้วยมารับประทานกัน
ขอบคุณ : http://variety.teenee.com/foodforbrain/50142.html
                 http://erisapro.com/articles/176

เรื่องข้าวๆที่บำรุงสมอง

ปัจจุบันคนส่วนใหญ่นิยมกินข้าวขาวมากกว่าหันมาสนใจกินข้าวกล้องซึ่งมีราคาแพงกว่า แต่รู้หรือไม่ว่าการกินข้าวขาวนั้นอาจทำให้เป็นโรคเบาหวานได้ เนื่องจากในข้าวขาวนั้นมีปริมาณคาร์ไฮเดรตมากกว่าข้าวกล้อง เมื่อรู้อย่างนี้ลองเปลี่ยนมากกินข้าวกล้องกันดูหน่อยว่าคุณค่าในการบำรุงสมองที่ได้รับจากข้าวกล้องนั้นมีมากแค่ไหนกัน
- กลูโคส​ (glucose) สมองจะสดชื่นได้อย่างรวดเร็วเมื่อได้รับกลูโคส ข้าวกล้องและอาหารจำพวกข้าว หรือ แป้งไม่ขัดขาว นั้นเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งเป็นพลังงานที่ดีต่อสมอง เพราะช่วยเติมกลูโคสอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอนานหลายชั่วโมง
- วิตามินบี 1 (thiamine) มีประโยชน์ช่วยป้องกัน ภาวะวิตกกังวลและอาการตื่นตระหนกง่าย เพราะทำหน้าที่ช่วยให้ประสาททำงานประสานกันได้ดีขึ้น
- วิตามินบี 2  (riboflavin) ช่วยจ่ายพลังงานให้กับเซลล์สมองด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของไมโทคอนเดรีย (mitochondria) ในสมอง ทำให้สมองแจ่มใส
- วิตามินบี 3 (niacin) เป็นตัวช่วยในการทำงานของสมอง เพราะช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานจากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นส่วนสำคัญ ทั้งยังควบคุมระดับกลูโคสในกระแสเลือด อีกด้วย 
- วิตามินบี 6 (pyidoxine) เป็นตัวช่วยในทำให้ร่างกายผลิตสารสือประสาท ซีโรโทนิน (serotonin) ซึ่งมีส่วนช่วยให้สมองผ่อนคลาย ทำให้หลับสนิท และช่วยควบคุมภาวะวิตกกังวลและอาการตื่นตระหนกให้ดีขึ้นได้
- วิตามินบี 9 (folic acid) วิตามินชนิดนี้มีมากในข้าวกล้อง มีส่วนในการควบคุมการทำงานของสมองให้เป็นปกติ นอกจากนี้ยังช่วยให้อารมณ์สงบและช่วยให้นอนหลับได้ดีในผู้สูงอายุอีกด้วย


ขอบคุณ : http://men.mthai.com/health-firm/6311.html
               

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

นักสูบระวังสมองจะเสื่อมเร็ว


        นักสูบต้องระวังมีการวิจัยว่าการสูบบุหรี่นั้นทำลายสมองให้เสื่อมเร็ว รู้อย่างนี้แล้วลด ละ เลิกไปเลยเพราะการสุบบุหรี่นั้นไม่ดีต่อร่างกาย นอกจากนี้ยังต้องเสียเงินจ่ายซื้อความตายให้ตัวเองอีก งั้นมาดูการวิจัยกันดีกว่า


        มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เปิดเผยรายงานการวิจัยจากคิงส์คอลเลจ ลอนดอน 
ที่พบว่าการสูบบุหรี่ส่งผลเสียต่อความจำ การเรียน รู้และความสามารถการวิเคราะห์ของสมอง งานวิจัยดังกล่าวตีพิมพ์ในวารสารเจอร์นอลเอจ แอนด์ เอจจิ้ง โดยติดตามผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี 8,800 คน ด้วยการทดสอบสมรรถภาพสมอง เช่น ความจำ การเรียนรู้คำใหม่ๆ การบอกชื่อสัตว์ให้ได้มากที่สุดในหนึ่งนาที ภายหลังการติดตามสี่ปีและแปดปี พบว่าตัวแปรที่ทำให้สมรรถภาพของสมองลดลงอย่างมีนัยสำคัญ คือ การสูบบุหรี่ รองลงมาคือ ความดันโลหิตสูงศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า งานวิจัยยืนยันอีกครั้งว่า การสูบบุหรี่ส่งผลต่อการเสื่อมแก่ของอวัยวะทั่วร่างกาย โดยไม่มีข้อยกเว้น เนื่องจากสารพิษและสารแปลกปลอมนับร้อยชนิดที่มีในควันบุหรี่ จะถูกกระแสเลือดพาไปสัมผัสและทำอันตรายต่อทุกอวัยวะ ที่เห็นได้ชัด คือ ผิวหนังและใบหน้าที่เหี่ยวย่นเกิดจากการที่ คอลลาเจนใต้ผิวหนังถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระและอวัยวะ เช่น ปอดที่ถุงลมถูกทำลายจนเป็นโรคถุงลมโป่งพอง

        ขณะที่เส้นเลือดทั่วร่างกายแข็งตัว ตีบตัน การสูบบุหรี่จึงไม่เพียงทำให้เสื่อมกายภาพ แต่ทำให้ระดับสติปัญญาของสมองลดลงด้วย รู้อย่างนี้แล้วเลิกเลยดีกว่า


 ขอขอบคุณ : http://variety.teenee.com/foodforbrain/49447.html