วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2556

อาหารและสารอาหารที่บำรุงสมอง


 

สารอาหารที่บำรุงสมอง
        1. โอเมก้า-3 (Omega-3) จะพบอยู่ในปลาทะเลและปลาน้ำจืดบางชนิด ซึ่งจะช่วยในการพัฒนาสมองและการมองเห็น
         2. โคลีน(Choline) จะพบอยู่ในพืชและสัตว์ ได้แก่ ไข่แดง เครื่องในสัตว์ เช่น ตับ สมอง ถั่วเหลือง ถั่วลิสง จมูกข้าว ข้าวโอ๊ต กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก เนื้อสัตว์ ปลา ฯลฯ ซึ่งจะช่วยความจำและการเรียนรู้ของสมอง
        3. แมงกานีส(Manganese) จะพบอยู่ในถั่วต่างๆ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถั่วทอด นม เนย ไข่ เนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ อาหารทะเล หอยนางรม ตับสัตว์ ไข่แดง ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวไรน์ มะพร้าว คะน้า กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี กล้วย สับปะรด ข้าวเจ้า แห้ว แครอท หัวปลี ถั่วลิสง เมล็ดอัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน องุ่น มะกอก ส้ม เชอรี่ แอปเปิ้ล อะโวคาโด แอพริคอท มะตูม มะขวิด กระจับซึ่งจะช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อม
       4. วิตามิน(Vitamin)
วิตามินเอ มีอยู่ผักสีต่าง ๆ เช่น ฟักทอง รวมถึงผักบุ้ง ช่วยให้ประสาทตากับสมองทำงานเชื่อมโยงกัน
          วิตามินบี มีอยู่ในเนื้อสัตว์ ธัญพืช ผักสีเขียว ฯลฯ ช่วยให้ความคิดอ่านโลดแล่น
      5. กรดโฟลิค (folic acid) เป็นวิตามินบีชนิดหนึ่งจะพบอยู่ผักใบเขียวทั่วไป ซึ่งจะช่วยในการจัดสร้างโครงสร้างของสมองทารกให้สมบูรณ์
       6. แมกนีเซียมจะพบอยู่ในเมล็ดพืช ปลาทะเล, นัท (เช่น อัลมอนด์ ฯลฯ), ถั่ว (ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วลิสง ถั่วแดงหลวง ฯลฯ ) ปวยเล้ง ธัญพืชไม่ขัดสี จมูกข้าวสาลี ผลไม้ (เช่น กล้วย ลูกเกด ฯลฯ), นม-ผลิตภัณฑ์นม (ควรเป็นชนิดไขมันต่ำ)  ซึ่งจะช่วยในการเพิ่มสรรถในการเรียนรู้ของสมองทำให้ความจำดี
       7. โพแทสเซียม (potassium)จะพบอยู่ใน  กลุ่มอาหารที่มีมาก คือ ผลไม้ ผักต่างๆโดยเฉพาะผักใบเขียว รองลงมา คือ นม เนย โยเกิร์ต เนื้อสัตว์ ปลา และกลุ่มที่มีบ้าง คือ ข้าว(ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ รำข้าวสาลี) ธัญพืช (ถั่วเหลือง เม็ดอัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน ) และอีกอย่าง มันฝรั่ง (โดยเฉพาะเปลือก)
        8. ไอโอดีน (lodine) จะพบอยู่ในอาหารทะเล ซึ่งมีผลต่อระบบประสาทและความจำ ช่วยลดอัตราปัญหาการเกิดภาวะทางสมอง ไม่ให้การเรียนรู้ด้อยลง และสติปัญญาทึบ
        9. คาร์โบไฮเดรต(Carbohydrate)จะพบอยู่ในอาหารจำพวกข้าว แป้ง น้ำตาล คาร์โบไฮเดรตเป็นพลังงานพื้นฐานให้กับทุกเซลล์ในร่างกายและผลิตเป็นน้ำตาลกลูโคสซึ่งสมองนำมาใช้ตลอดเวลา
        10. โปรตีน(Protein) จะพบอยู่ในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ นม และโดยเฉพาะในเนื้อปลา ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อภาวะอารมณ์ ความตื่นตัวของสมอง
       11. สังกะสี (Zinc) จะพบอยู่ในจำพวกเนื้อสัตว์และผัก ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างระบบประสาทส่วนกลางไม่ให้มีการพัฒนาการช้า
       12. ทอรีน(Taurine ) จะพบอยู่ในสัตว์ปีก เนื้อหมู และอาหารทะเล ซึ่งจะช่วยการเรียนรู้จากสติปัญญา และการมองเห็น และยังช่วยดูดซึมกรดไขมันที่จำเป็นต่อสติปัญญา
       13. กรดไลโนเลอิก(Lynolaic Acids) จะพบอยู่อาหารจำพวกปลาทะเล ตับ และน้ำมันพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด ฯลฯ ซึ่งจะช่วยสร้างเส้นใยสมองให้มีการเติบโตที่ดี
       14. กรดไขมัน(Lipid Acids ) กรดไขมันจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือแบบอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว ซึ่งแบบไม่อิ่มตัวนั้นสามารถช่วยในการพัฒนาสมอง จะพบในอาหารทะเลและสาหร่ายบางชนิด
จากสารอาหารที่กล่าวข้างต้นนั้นสามารถนำมาทำมาเป็นเมนูอาหารที่ช่วยเพิ่มพลังสมองเพื่อช่วยให้มีรสชาติ หน้าตาและสีสันที่น่ากินยิ่งขึ้น

     ผัก ผลไม้และเนื้อสัตว์ที่มีประโยชน์
เห็นได้ว่าพืชผักและผลไม้ที่เห็นอยู่ในชีวิตประจำวันที่เราไม่ค่อยใส่ใจกับคุณค่าทางอาหารนั้นมีประโยชน์ต่อสมองเพียงแต่เรามองข้ามไม่สนใจเท่านั้น ดังนั้นควรเริ่มในการเลือกกินพืชผักและผลไม้ที่ดีต่อสมองมากกว่าสนว่าอาหารนั้นอร่อยอย่างเดียวเท่านั้น

     1. บลูเบอร์รี่   มีใยอาหารสูงแต่ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ นั้นถึงว่าผู้ป่วยเบาหวานสามารถกินได้ เคยมีการศึกษามากมายที่ชี้ว่า จะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ ช่วยให้เราเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น สิ่งที่ต้องระวังก็คือให้เลี่ยงบลูเบอร์รี่เชื่อม หรืออบแห้งเท่านั้น


     2. แซลมอนธรรมชาติ กรดไขมันจำเป็น โอเมก้า-3 เป็นสิ่งที่สำคัญต่อสมองมาก ไขมันที่มีประโยชน์นี้มีความเกี่ยวพันกับสติปัญญาช่วยให้กระปรี้กระเปร่า ชะลอความเสื่อมถอยของระบบประสาทส่วนกลางพัฒนาความจำ ทำให้อารมณ์ดีและลดโอกาสเกิดโรคซึมเศร้าหรือโรคสมาธิสั้น แต่ถ้ามีโอกาสก็ให้เลือกแซลมอนตามธรรมชาติดีกว่าแซลมอนจากฟาร์มเลี้ยง

     3. ทับทิม  ควรกินแบบสดมากว่าการดื่มน้ำจากล่องน้ำผลไม้ เพราะจะได้ใยอาหารด้วย ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับบลูเบอร์รี่ ซึ่งจำเป็นมาก ๆ สามารถระงับความเครียดจากสมอง


     4. กาแฟ  เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ กรดอะมิโน วิตามิน และแร่ธาตุ โดยเฉพาะผงกาแฟจากเมล็ดที่บดใหม่ ๆ จะมีประโยชน์ต่อทั้งสมองและร่างกายมาก ส่วนกาเฟอีนก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีผลดีต่อสมองเช่นกัน การดื่มกาแฟเป็นประจำจะช่วยชะลอไม่ให้สมองเสื่อมถอย ป้องกันโรคอัลไซเมอร์หรือโรคหลงลืมได้จริง ถ้าเป็นเอสเพรสโซ่เพียงอย่างเดียวก็ยิ่งดีต่อทั้งหัวใจและสมอง

     5. ถั่ว มีโปรตีน ใยอาหาร และไขมันที่มีประโยชน์ คาร์โบไฮเดรตและยังมีวิตามินอีซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมอง  แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงถั่วเหลือบน้ำตาลหรือปรุงรส ส่วนทางเลือกที่ดีก็มีตั้งแต่เฮเซลนัต เม็ดมะม่วงหิมพานต์ วอลนัต และอัลมอนต์ ส่วนแมคคาเดเมียนั้นมีปริมาณไขมันมากกว่าถั่วชนิดอื่น ๆ

     6. ทูน่า ปลาทูน่าครีบเหลืองมีระดับวิตามินบี 6 สูงกว่าอาหารประเภทอื่น ๆ วิตามินบี 6 นี้เกี่ยวพันโดยตรงกับความจำและสติปัญญา รวมถึงสุขภาพโดยรวมในระยะยาวของสมอง

     7. ข้าวกล้อง  ด้วยความที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ข้าวกล้องจึงดีมาก ๆ สำหรับคนที่แพ้กลูเธนเพื่อให้สุขภาพของหลอดเลือดหัวใจแข็งแรงขึ้น ยิ่งระบบไหลเวียนโลหิตของเราดีขึ้นก็จะทำให้สมองก็ยิ่งเฉียบแหลมมากขึ้น


    8. ชาเขียว ผงชาเขียวนั้นอุดมไปด้วยสารคลอโรฟิลด์จึงทำให้มีสีเขียวสด เมื่อดื่มจะมีรสชาติฝาดนิด ๆ และเพียงแก้วเดียวก็ทำให้รู้สึกปลอดโปร่งได้ แต่ถ้าพูดในแง่วิทยาศาสตร์แล้วมัตชะมีสารที่ชื่อว่า Catechin วิตามินเอและซี ฟลูออไรด์ และสาร L-Theanine ซึ่งช่วยในเรื่องสมาธิ แค่เฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเดียวก็มีมากกว่าบลูเบอร์รี่ถึง 33 เท่า

    9. เมล็ดพืช  มีโปรตีน ไขมัน วิตามินอี สารต้านอนุมูลอิสระและแร่ธาตุซึ่งช่วยเสริมสร้างสมองอย่างแมกนีเซียม

    10. ข้าวโอ๊ต  ดีต่อสุขภาพของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ซึ่งก็ส่งผลดีต่อสมองของเรา ข้าวโอ๊ตมีใยอาหารและก็มีโปรตีนอยู่พอสมควร หรือแม้แต่โอเมก้า-3 ก็ยังมีอีกจำนวนหนึ่ง การกินข้าวโอ๊ต ตอนเช้าจะช่วยให้แจ่มใสและไม่ง่วงนอนแม้ในยามบ่าย


     11. หอยนางรม มีทั้งซีลีเนียม แมกนีเซียม โปรตีน และแร่ธาตุอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อสุขภาพสมอง เคยมีการทดลองพบว่า คนที่กินหอยนางรมมีความจำและอารมณ์ดีขึ้น

     12. ผักใบเขียว  ผักโขม คะน้า ปวยเล้ง บร็อกโคลี่ กวางตุ้งและผักใบสีเขียวควรพยายามกินทุกวัน ผักใบเขียวอุดมด้วยธาตุเหล็ก ถ้าขาดธาตุเหล็กโรคที่เป็นเช่นกลุ่มอาการขาอยู่ไม่เป็นสุข(Restless Legs Syndrome) อาการเหนื่อยล้า อารมณ์เสีย สมองตื้อตัน และปัญหาสภาพจิตอื่นๆ

    13. มะเขือเทศ จัดว่าเป็นอาหารสมองชั้นดี เพราะมันมีสารต้านอนุมูลอิสระชื่อว่าไลโซปีน จึงช่วยป้องกันโรคหลงลืมได้ เพียงแต่ต้องผ่านความร้อนก่อน

     14. น้ำมันมะกอก การศึกษาจำนวนมากชี้ว่า ถ้าไม่มีไขมันแล้วเราจะคิดอ่านไม่ชัดเจน อารมณ์แปรปรวน และอาจเป็นโรคนอนไม่หลับ การกินอาหารที่อุดมด้วยไขมันนั้นจำเป็นมาก ๆ ต่อสมองที่ปลอดโปร่ง ความจำที่ดี และอารมณ์ที่สมดุล

     15. น้ำสะอาด การดื่มน้ำเปล่ากับสูดอากาศจะช่วยเพิ่มพลัง และทดแทนออกซิเจนเข้าไปในเซลล์ ทำให้สมองของไม่รู้สึกเหนื่อยล้ามากเกินไปนัก ต้องหลีกเลี่ยงน้ำหวานหรือน้ำอัดลม ของพวกนี้มีทั้งน้ำตาล และกาเฟอีนอยู่ในปริมาณมากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การเสพติดได้

      16. ผงกะหรี่  ส่วนประกอบหลักในผงกะหรี่ คือขมิ้น และขมิ้นก็มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มากมาย มันจะช่วยต่อสู้กับอนุมูลอิสระ ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในสมองและร่างกาย นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันโรคเบาหวานและโรคหัวใจได้ด้วย เพียงแค่เดือนละครั้งที่กินกะหรี่ก็มีผลดีต่อสมอง

      17. ไข่  มีทั้งโปรตีนและไขมันซึ่งให้พลังงานแก่สมองได้นานหลายชั่วโมง นอกจากนี้ ซีลีเนียมในไข่ออร์แกนิกก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า จะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้

      18. โยเกิร์ต ที่มีโปรตีนและแคลเซียม โปรตีนสำคัญมาก ต่อสารสื่อประสาทที่จะช่วยให้สมองแจ่มใส ส่วนแคลเซียมก็ช่วยในเรื่องของความจำ ควรเลือกกินแบบไม่มีน้ำตาลและกินกับธัญพืชเพื่อเพิ่มคุณค่า

      19. ช็อกโกแลต ช็อกโกแลตก็ดีตรงที่มีสารช่วยกระตุ้นสมอง มีปริมาณกาเฟอีนในระดับที่พอเหมาะ เพิ่มสารเซโรโทรนินซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข นอกจากนี้ ดาร์กช็อกโกแลตยังมีใยอาหารจำนวนมาก
 
       20. กระเทียม  กระเทียมเต็มไปด้วยสารอาหารมากมายทำให้หลอดเลือดหัวใจแข็งแรง กระเทียมยังช่วยส่งสารต้านอนุมูลอิสระไปที่สมองด้วย

โรคพาร์กินสัน


โรคพาร์กินสัน

        พาร์กินสันเป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของสมองที่พบได้บ่อยรองจากโรคอัลไซเมอร์ พบในเพศชายมากกว่าหญิง และส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรปและอเมริกาเหนือ เป็นผลมาจากการตายของเซลล์สมองซึ่งทำหน้าที่ผลิตสารเคมีที่เรียกว่า โดปามีน ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เมื่อระดับของโดปามีนลดลง การควบคุมกล้ามเนื้อก็ยากขึ้น ส่งผลให้มีอาการสั่นบริเวณมือ แขน ขา ขากรรไกร เคลื่อนไหวช้า ขยับแขนขา แสดงท่าทางและเดินลำบากนอกจากนี้ยังมีอาการซึมเศร้า วิตกกังวล สูญเสียความทรงจำ นอนไม่หลับ พูดช้า เคี้ยวหรือกลืนยาก ท้องผูก ควบคุมปัสสาวะไม่อยู่ มีอาการชา ปวดกล้ามเนื้อ และเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
         “แม้พาร์กินสันจะเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถป้องกันหรือรักษาให้หายขาดได้ แต่การที่เราทราบสาเหตุของโรค ทำให้มีทางเลือกในการรักษามากกว่าโรคทางสมองและระบบประสาทอื่น ๆ โดยเฉพาะการให้ยาเพิ่มปริมาณโดปามีน และเสริมโดปามีนร่วมกับยารักษาอาการร่วม เช่น ซึมเศร้า นอกจากนี้การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและควบคุมการเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น” นพ. ศิริชัย อธิบาย
        อีกทางเลือกหนึ่งในการรักษาโรคพาร์กินสัน ได้แก่ การรักษาด้วยการผ่าตัดแบบกระตุ้นด้วยไฟฟ้า หรือ Deep Brain Stimulation (DBS) ซึ่งมีข้อจำกัดอยู่ที่ยังไม่สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยทุกราย แพทย์จะเป็นผู้แนะนำแนวทางในการรักษาเฉพาะบุคคลต่อไป

สมองเสื่อมเกิดจาก


 สมองเสื่อมเกิดจากสาเหตุหลายประการ

  1. เกิดจากการเสื่อมสลายของสมอง หมายความว่า เนื้อสมองมีการเสื่อมสลาย หรือมีการตายเกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ไม่ทราบว่ามีสาเหตุมาจากอะไร ไม่ทราบว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้นทำให้เนื้อสมองมีการตาย โรคที่พบบ่อยในกลุ่มนี้ได้แก่ โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน และยังมีโรคอื่น ๆ อีกหลายโรค ซึ่งโรคอัลไซเมอร์เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกาเหนือ
  2.  โรคสมองเสื่อมเกิดจากหลอดเลือดสมอง กลุ่มนี้เกิดจากหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองมีการหนาตัว แข็งตัว หรือมีการตีบตัวผิดปกติ ทำให้ปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงสมองลดลง ถ้าลดลงมากจนถึงระดับที่ไม่เพียงพอกับการใช้งานของสมอง ก็จะทำให้เนื้อสมองตายไป เนื้อสมองส่วนที่ตายไปนั้น ถ้าเกิดขึ้นในพื้นที่เล็ก ๆ ก็อาจจะยังไม่มีอาการอะไรในระยะแรก แต่ถ้ามีการตายของเนื้อสมอง เนื่องจากการขาดเลือดนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก จนเนื้อสมองมีการตายเป็นจำนวนมาก จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการหลงลืมหรือสมองเสื่อมได้ ในบางครั้งเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองนั้น อุดตันในบริเวณเส้นเลือดใหญ่ ทำให้เกิดเนื้อสมองตายขนาดใหญ่ ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมได้
  3.  สมองเสื่อมที่เกิดจากการติดเชื้อในสมอง มีเชื้อไวรัสหลายชนิดซึ่งทำให้เกิดการอักเสบในสมอง ตัวอย่างเช่น เชื้อไวรัสสมองอักเสบที่เกิดจากไวรัสที่ติดมาจากหมูในปัจจุบันยังมีเชื้อไวรัสอีกส่วนหนึ่ง ที่ทำให้เกิดสมองเสื่อมมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้แก่ การติดเชื้อไวรัส HIV หรือไวรัสที่ทำให้เกิดเป็นโรคเอดส์นั้นเอง ไวรัสชนิดนี้เข้าไปในร่างกายแล้ว อาจจะทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายบกพร่อง และตัวไวรัสเองก็เข้าไปทำให้เกิดการติดเชื้อ เกิดการเสียหายของสมอง ผู้ป่วยจะมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง ความจำเปลี่ยนแปลง บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง เป็นลักษณะของคนเป็นสมองเสื่อมได้ ส่วนใหญ่แล้วสมองเสื่อมที่เกิดการติดเชื้อในสมองนั้น มักพบในคนอายุน้อย
  4.  สมองเสื่อมจากการขาดสารอาหารบางชนิด โดยเฉพาะวิตามิน เช่น วิตามิน B1 หรือวิตามิน B12 วิตามิน B1 เป็นสารช่วยทำให้การทำงานของเซลล์สมองเป็นไปอย่างปกติ ผู้ที่ขาดวิตามิน B1 มักจะพบในผู้ป่วยที่ติดเหล้า หรือเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง คนกลุ่มนี้มักจะกินเหล้าจนเมา และมักไม่ได้อาหารที่เพียงพอ วิตามิน B1 ไม่เพียงพอต่อร่างกาย ทำให้เซลล์สมองทำงานไม่ได้ตามปกติ จนอาจจะถึงแก่เซลล์สมองเสียหายตายไป นอกจากนี้วิตามิน B12 เองก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการทำงานของสมอง ผู้ป่วยที่ขาดวิตามิน B12 มักจะพบในผู้ป่วยที่เป็นมังสวิรัติอย่างเคร่งครัด เป็นเวลานานหลาย ๆ ปี ดังนั้น คนที่ทานมังสวิรัติอย่างเคร่งครัด จึงควรได้รับวิตามินเสริมเป็นครั้งคราว เพื่อให้เพียงพอกับการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย
  5.  สมองเสื่อมจากการแปรปรวนของเมตาโบลิกของร่างกาย เช่นการทำงานของต่อมไร้ท่อบางชนิดผิดปกติไป เช่น ต่อมธัยรอยด์ทำงานมากไป หรือทำงานน้อยไป การทำงานของตับหรือของไตผิดปกติไป จะทำให้เกิดของเสียคั่งอยู่ในร่างกาย ซึ่งมีผลทำให้สมองไม่สามารถสั่งการได้ตามปกติ ถ้าภาวะอย่างนี้เป็นอยู่นาน ๆ จะทำให้มีอาการสมองเสื่อมได้
  6.  สมองเสื่อมจากการถูกกระทบกระแทกที่ศีรษะอยู่เสมอ ๆ ภาวะนี้พบบ่อยในคนที่มีปัจจัยเสี่ยง ที่จะมีการกระทบกระแทกที่ศีรษะ โดยเฉพาะพวกนักมวยหรือนักกีฬาบางชนิดที่ต้องใช้ศีรษะกระแทกสิ่งต่าง ๆ หรืออาจจะพบในผู้ที่ดื่มสุรา เมาแล้วก็เดินชนโน่นชนนี่ หรือหกล้มศีรษะฟาดพื้น ถ้าเป็นซ้ำแล้วซ้ำอีก เนื้อสมองที่กระทบกระแทกกระเทือนนั้นจะตายไป เมื่อเนื้อสมองตายไปจำนวนมากเข้า ก็จะทำให้การทำงานไม่เป็นปกติ มีอาการสมองเสื่อมได้
  7.  สมองเสื่อมจากเนื้องอกในสมอง โดยเฉพาะเนื้องอกที่เกิดจากทางด้านหน้าของสมอง ทำให้เกิดอาการแขนขาไม่มีแรง มองเห็นภาพซ้อน หรืออาการซึ่งแสดงว่ามีความดันในกะโหลกศีรษะมากขึ้น เช่น อาเจียนหรือปวดศีรษะ แต่เนื้องอกในบริเวณนี้อาจจะทำให้บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง ความจำและการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นลักษณะของผู้ป่วยสมองเสื่อมได้

องค์ประกอบในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์


องค์ประกอบในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์

1. การอยู่คนเดียวลำพัง (aloneness) ทำให้เราได้มีเวลาอยู่กับตนเอง มีอิสระในความคิด เป็นการหลีกหนีจากสิ่งเร้าทางสังคมที่กระตุ้นอยู่ตลอดเวลา การอยู่คนเดียวทำให้มีโอกาสได้ฟังตัวเองและสามารถแสวงหาความต้องการหรือความพอใจให้ตนเองได้
2. การอยู่เฉย (inactive) มีส่วนช่วยกระตุ้นแนวโน้มของความคิดสร้างสรรค์ได้ การนั่งเฉยๆตามลำพังคนเดียวเป็นเวลานานพอทำให้เกิดความคิด ความรู้สึกที่เป็นอิสระ คิดจิตนาการและภาวะสร้างสรรค์
3. การฝันกลางวัน (day dreaming) ช่วยกระตุ้นให้เกิดความคิดแปลกใหม่ไม่เหมือนของเดิมขอบเขตจินตนาการจะกว้างขึ้นและสร้างสรรค์ขึ้น
4. การระลึกถึงความขัดแย้งในอดีตที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บทางจิตใจ (remembrance and inner replaying of past traumatic conflicts) เป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ ความขัดแย้งที่ก่อให้เกิดบาดแผลทางจิตใจเมื่อได้รับการแก้ไขแล้ว แม้จะยังไม่สมบูรณ์สามารถถูกกระตุ้นออกมาสู่จิตสำนึกพร้อมกับความรู้สึกที่คุ้นเคย ซึ่งจะก่อให้เกิดพลังอย่างสำคัญและสามารถเปลี่ยนเป็นผลงานของความคิดอันสร้างสรรค์ได้
5. ความเชื่ออะไรง่ายๆ (gullibility) คือความเต็มใจที่จะยอมรับบางสิ่งอย่างง่ายดายในกระทั่งมีการพิสูจน์ว่าสิ่งนั้นผิด ภาวะสร้างสรรค์มักจะสัมพันธ์กับการค้นพบการจัดระเบียบภายในตัวเรามากกว่าการสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาเลยซึ่งจะทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ได้
6. ความตื่นตัวและระเบียบวินัย(alertness and discipline)จินตนาการ(imagination)การจรรโลงใจ(inspiration)ความรู้เองหรืออัชฌัตติกญาณ(intuition)และวุฒิสามารถ(talent)เป็นคุณสมบัติที่สำคัญของภาวะสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีเหตุผลหรือมีระเบียบจะมีส่วนช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์

          การเจริญสมาธิไม่ว่าจะเป็นสมถกรรมฐานหรือวิปัสสนากรรมฐานล้วนมีลักษณะของการอยู่คนเดียวตามลำพังไม่ว่าจะเป็นการทำสมาธิเป็นกลุ่มในสถานที่เดียวกันก็ตาม แต่ต่างคนต่างก็ปฏิบัติไม่ได้สนใจพูดคุยหรือกระทำอย่างอื่น การอยู่เฉยก็เป็นลักษณะที่สามารถเห็นได้ชัดในการเจริญสมาธิ การตื่นตัวและระเบียบวินัยก็เป็นลักษณะองค์ประกอบที่ช่วยส่งเสริมและกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ในขณะเจริญสมาธิ

         การฝึกสมาธิสามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซีกขวาให้มีประสิทธิภาพในการการประมวลเอาความชำนาญในการคิดวิเคราะห์รวมถึงการใช้ภาษาของสมองซีกซ้ายร่วมกับความสารถทางศิลปะ ดนตรี ความรู้ตัวเองและความคิดสร้างสรรค์ของสมองซีกขวาเข้าด้วยกัน ทำให้ระดับของเชาวน์ปัญญาและเชาวน์อารมณ์เพิ่มขึ้น โดยได้ทำการศึกษาจากพริ้มเพรา ดิษยวณิชที่พบว่าการฝึกอบรมดังกล่าวตามหลักสูตรแบบเข้มเป็นเวลา 7 วัน สามารถเพิ่มระดับของเชาวน์อารมณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงทางจิตใจและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์

ส่วนประกอบ และ หน้าที่ของสมอง


ส่วนประกอบ

สมองชั้นใน
     
        เป็นที่อยู่ของแกนสมองหรือก้านสมองมีหน้าที่ขั้นพื้นฐานที่ง่ายที่สุดเกี่ยวกับการเต้นของหัวใจ การหายใจ ประสาทสัมผัส การสั่งงานกล้ามเนื้อให้มีการเคลื่อนไหว รวมถึงหน้าที่ในการรับและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนรู้จากสมองหรือระบบประสาททำให้เกิดเป็นระบบตอบโต้อัตโนมัติหรือเกี่ยวกับสัญชาตญาณนั้นเอง

สมองชั้นกลาง
       
        เป็นส่วนของสมองที่สลับซับซ้อนมากขึ้น ทำให้มนุษย์มีความสามารถในการปรับตัว ปรับพฤติกรรมให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้นหากมีการกระตุ้น ส่วนฮิปโปแคมบัส() เทมโพราลโลบ()และบางส่วนของฟรอนทอลโลบจะมีหน้าที่เกี่ยวกับความจำ การเรียนรู้ พฤติกรรม ความสุข อารมณ์ ขั้นพื้นฐานต่างๆและความรู้สึก

สมองชั้นนอก
       
           นิวแมมมาเลียนเบรนทำหน้าที่เกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิด การเรียนรู้ สติสัมปชัญญะและรายละเอียดที่ซับซ้อนเป็นส่วนรวมเกี่ยวกับความฉลาด ความคิดสร้างสรรค์ การคำนวณ ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น  ความรักความชอบรวมถึงเป็นส่วนที่ทำให้มนุษย์รู้จักคิดหาทางเอาชนะธรรมชาติ

     
หน้าที่ของสมอง


          การทำงานสมองตั้งแต่ระดับเซลล์ประสาทจนถึงหน้าที่ต่างๆของสมอง การทำงานของเซลล์ประสารทซึ่งมีอยู่ 1 แสนล้านเซลล์ ใช้ระบบสารเคมีทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า เซลล์ประสาทเหล่านี้จะทำงานกันเป็นกลุ่ม เซลล์ประสาท 1ตัวจะติดต่อกับเซลล์ประสาทอื่นเป็นหมื่นๆเซลล์โดยผ่านทางเส้นใยประสาทและจุดเชื่อมต่อเซลล์ประสาทเหล่านี้จะรับความรู้สึกและบอกได้ว่าส่วนใดของร่างกายได้รับความรู้สึก เนื่องจากสมองคนเรามีแผนที่ในสมองเช่นเดียวกับการสั่งให้กล้ามเนื้อทำงาน สมองก็จะมีแผนที่สั่งให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกายมีการเคลื่อนไหว
         สำหรับการมองเห็นและการได้ยินสมองจะอาศัยข้อมูลจากภายนอกผ่านทางประสาทตาหรือประสาทหู ทำให้เกิดคลื่นกระแสไฟฟ้าและสมองส่วนต่างซึ่งอาจจะอยู่ไกลกัน จะนำข้อมูลมาประกอบกัน เช่น  การเห็นวงกลม เซลล์ประสาทแต่ละกลุ่มจะเห็นเป็นเส้นโค้งๆเมื่อมาประกอบกันเส้นโค้งเหล่านี้จะกลายเป็นวงกลม
         ความฉลาดและความคิดเป็นเรื่องที่สามารถจะบอกได้ว่ามาจากส่วนใดของสมอง แต่ที่ทราบกันคือ นีโอคอร์เท็กซ์ หรือสมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะทำหน้าที่นี้ซึ่งต้องอาศัยปัจจัยภายนอกให้ข้อมูลเข้าไป การเร่งหรือกระตุ้นสามารถทำให้เกิดสติปัญญาและความฉลาดหรือในทางตรงกันข้ามปล่อยปละละเลยไม่สนใจก็จะทำให้มีปัญหาทางด้านสติปัญญาและความฉลาด

ภาษา HTML


 ภาษา HTML ( HTML Introduction )

           HTML ย่อมาจาก  Hyper Text Markup Language เป็นหนึ่งในภาษาคอมพิวเตอร์ ที่มีลักษณะเป็นภาษาในเชิงการบรรยายเอกสารไฮเปอร์มิเดีย ( Hypermedia Document Description Language ) เพื่อเผยแพร่เอกสารในระบบเครือข่าย WWW ( World Wide Web ) มีโครงสร้างภาษาโดยใช้กำกับ ( Markup Tags ) เพื่อทำหน้าที่ควบคุมการแสดงผลข้อมูล รูปภาพ และวัตถุอื่นๆผ่านโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ ซึ่งในแต่ละ Tag จะมีส่วนขยาย ( Attribute ) เพื่อควบคุมการแสดงผล ซึ่งเป็นภาษาที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย World Wide Web Consortium ( W3C ) ซึ่งมีแม่แบบคือภาษา SGML ( Standard Generalized Markup Language ) ในการสร้าง HTML จะต้องอาศัยโปรแกรมที่มีคุณสมบัติเป็นแท็กเอดิเตอร์ ( Text Editor ) โดยใช้สำหรับเขียนคำสั่งต่างๆ ที่ต้องการแสดงผลทางจอภาพและเก็บเป็นไฟล์ โดยมีนามสกุล .html หรือ .htm
                         

รูปแบบการเขียนบล็อก


รูปแบบการเขียนบล็อก

           การเขียนบล็อกที่พบเห็นนั้น มีหลากหลายรูปแบบ สรุปรูปแบบทั่วๆ ไปที่นิยมกัน ดังต่อไปนี้ รูปแบบการเขียนบล็อกแบ่งตามลักษณะของเนื้อหาในการเขียน คือ

        1.Personal เป็นการเขียนบล็อกแบบเล่าเรื่องส่วนตัว บรรยายถึงความรู้สึกนึกคิด หรือเรื่องในชีวิตประจำวันที่ได้พบเห็นของบุคคลนั้นๆ เล่าเรื่องราวข่าวสารต่างๆ ที่ตัวเองประสบพบเห็น หรือมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ หรือบางครั้งเรียกรูปแบบนี้ว่า การเขียนแบบ Diary ก็ได้ ตัวอย่าง เช่นบล็อก www.Storythai.com
 
         2.Topical เป็นการเขียนบล็อกโดยมีหัวข้อหรือจุดมุ่งหมายในการเขียนที่ชัดเจน อาจจะเกี่ยวกับสิ่งที่ชอบหรือมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ โดยตรง เช่น กีฬาบาสเกตบอล กีฬาฟุตบอล กอล์ฟ เกี่ยวกับเพลงที่ชื่นชอบ วิจารณ์ภาพยนตร์ เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ หรือ เรื่องบล็อกเป็นต้น ซึ่งการเขียนลักษณะนี้จะอิงจากหัวข้อเป็นหลัก จะเล่าเรื่องนอกเหนือจากหัวข้อไม่มากนัก เช่น http://vinman.blogrevo.com

        3.  Collaborative เป็นการเขียนบล็อกแบบเป็นทีม ช่วยกันเขียน ช่วยกันปรับปรุง ซึ่งภายในบล็อกอาจจะมีเรื่องราวหลากหลาย ซึ่งอาจเขียนโดยผู้เขียนคนเดียวหรือหลายคนก็ได้ โดยแต่ละคนจะได้รับอนุญาตจากเจ้าของ Account ให้ทำการเขียนบทความหรือรับผิดชอบเฉพาะส่วนไป ตัวอย่างเช่น http://gotoknow.org

        4.  Corporate เป็นการเขียนบล็อกเชิงธุรกิจ โดยบริษัทหรือองค์กรต่างๆ เพื่อประชาสัมพันธ์ถึงหน่วยงานของตน หรือเป็นตัวเสริมในการบรรยายให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการ ตัวอย่างขององค์กร มี corporate blog ได้แก่ Sun Microsystems, IBM, HP, Microsoft, Yahoo และ Google
บล็อกขององค์กร โดยทั่วไปแล้วสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ Internal blog และ External blog
1.Internal blog เป็นบล็อกภายในที่ถูกจัดให้มีขึ้นเพื่อบุคลากรขององค์กร และสามารถเข้าถึงได้เฉพาะเครือข่ายขององค์กรเท่านั้น
2.External blog เป็นบล็อกที่อนุญาตให้บุคคลอื่นที่ไม่ได้เป็นบุคลากรสามารถเข้าถึงได้ เช่น ลูกค้าองค์กร เป็นต้น
5.  Specialty เป็นการเขียนบล็อกแบบพิเศษนอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้น ยกตัวอย่าง เช่นบล็อกที่เขียนขึ้นเพื่อประชามสัมพันธ์โครงการซึ่งจัดขึ้นในกรณีพิเศษ การประกาศรับบริจาค การประกวดแข่งขันต่างๆ เป็นต้น

ชนิดของบล็อก


ชนิดของบล็อก

          เทคโนโลยีของบล็อกที่ใช้ง่ายทำให้มีผู้ใช้ในวงกว้างและมีความหลากหลาย บล็อกที่นำมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน และมีบล็อกอยู่มากที่ได้ผสมผสานความหลากหลายประเภทเอาไว้
1.  Business  ตลาดซื้อขายหลักทรัพย์เป็นหัวข้อที่ได้รับความนิยมในหมู่นักลงทุนสมัครเล่นและนักลงทุนมืออาชีพ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ใช้ บล็อกเป็นที่แบ่งปันความรู้ ทริปต์ เทคนิคต่าง ๆ เกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์ นอกจากนี้บล็อกประเภท Business ยังใช้เป็นที่โปรโมตและทำลายชื่อเสียงทางธุรกิจ ใช้เป็นที่อภิปรายโต้เถียงกันถึงแนวทางของเศรษฐกิจ หรือใช้เป็นที่เผยแพร่ข้อมูลก็ได้เช่นกัน
2.  Clubbox  เป็นบล็อกอีกประเภทหนึ่งที่แพร่หลายมาในแถบเอเชียตะวันออก โดยผู้เป็นเจ้าของบล็อกส่วนใหญ่ไม่ต้องเสียค่ารายเดือน สามารถโพสต์ข้อมูลที่เป็นข้อความ รูปภาพ และไฟล์วิดีโอ เข้าไปได้ทุกวัน ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีการจัดเตรียมพื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อรองรับไฟล์เหล่านี้ และยังมี Bandwidth สำหรับส่งข้อมูลขึ้นไปโพสต์ขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มความรวดเร็วอีกด้วย
3.  Cultural  เป็นบล็อกที่ใช้เพื่อการสาธยาย อภิปราย โต้เถียง กันในเรื่องต่าง ในตอนนี้เป็นที่กำลังนิยม
4.  MoBlog หรือ mobile Blog ส่วนใหญ่จะเป็นการรวบรวมเนื้อหาจากอินเตอร์เน็ต จากผู้ขายมือถือ หรือเจ้าของแบรนด์มือถือ หรือ PDA ยี่ห้อต่าง ๆ และอาจจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับซอฟต์แวร์บนมือถือ
5.  Online diary  ถ้าจะพูดถึงบล็อกในแง่ทั่วไปแล้วบ่อยครั้งที่ใช้เพื่อการเขียนบันทึกประจำวันแบบออนไลน์ หรือวารสาร เช่น LiveJournal.com ซึ่งเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ใช้บล็อกเป็นที่แรก ๆ โดยรูปแบบของบล็อกที่ใช้งานง่ายนั้นทำให้ผู้ที่ไม่มีความชำนาญในเรื่องคอมพิวเตอร์ สามารถเข้ามาทำ diary ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งคนทั่วไปมักจะเขียนโครงกลอน ร้อยแก้ว การร้องทุกข์การทำผิดกฎหมาย ประสบการณ์ประจำวัน และอื่นๆ แต่เนื้อหาส่วนใหญ่ของบล็อกประเภทนี้จะเกี่ยวกับเรื่องชีวิตเป็นส่วนใหญ่
6.  PhotoBlogs จะประกอบไปด้วย แกลลอรี่รูปภาพที่เปิดกว้างให้เข้าไปดูรูปได้ มีคำบรรยายใต้ภาพ ซึ่งคำบรรยายเหล่านั้นจะทำให้มีความสำคัญ หรือไม่สำคัญก็ได้ ก็อยู่ที่ผู้ใช้ ผู้บรรยาย อย่างที่ sketchBlog ก็มีความใกล้เคียงกับการเป็น photoBlogs แต่เป็นบล็อกที่มุ่งเน้นไปที่ภาพสเกตซ์ ซึ่งเป็นศิลปะพื้นฐานที่ต้องใช้สายตาเป็นหลัก
7.  Political Blogs ได้รับการต้อนรับจากสื่อ และนักวิชาการมากขึ้น ซึ่งบล็อกประเภทนี้ส่วนใหญ่จะนำเสนอความเคลื่อนไหวของข่าวสารและบ่อยครั้งที่มีการเพิ่มความคิดเห็นส่วนตัวลงไปซึ่งบล็อกชนิดนี้หลายๆ แห่งก็มีฟีเจอร์สำหรับแสดงความคิดเห็นอย่างมากมายใส่ไว้
warBlog.com เป็นตัวอย่างของ บล็อกอันหนึ่งที่ให้ความใส่ใจอย่างมากเกี่ยวกับสถานการณ์หรือเหตุการณ์ทีเกี่ยวกับสงคราม บางครั้งเราก็ใช้คำว่า warBlog เพื่อบอกความหมายในเชิงที่ว่าบล็อกนั้นมีความโน้มเอียงไปในเรื่องสงคราม
8.  Science นักวิทยาศาสตร์ ก็มีการใส่ความรู้สึกให้หล่อหลอมเข้าไปในบล็อกเช่นกัน บางครั้งเราจะเห็นว่ามีบางความคิดเห็นที่เป็นเส้นทางใหม่ที่ชาญฉลาด นำมาตีแผ่ให้ได้อ่านกัน มีการอภิปรายข้อมูล ซึ่งบางบล็อกก็มีข้อมูลที่ดูน่ากลัว ดูน่าจะเป็นอันตรายแต่นักวิทยาศาสตร์บางคนก็มีแนวทางการนำเสนอที่ดูน่าเชื่อถือซึ่งก็ต้องเลือกอ่าน
9.  ShockBlog  มีเนื้อหาส่วนใหญ่ไปในเชิงของการสร้างความดึงดูดใจ แต่ไปในทางของการสร้างความตกใจ (shock) และ Aggressive มากกว่า ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรือเรื่องที่มีการนำเสนอทางวารสารมาแล้ว โดยอาจจะเป็นบทความที่น่าสนใจ แปลกใหม่ หรือเป็นเรื่องธุรกิจที่กำลังอยู่ในกระแสจากทั่วทุกมุมโลกที่น่าเขียนถึงก็ได้
10.  SpamBlogs หรือ Splogs เป็นรูปแบบของการโฆษณาที่บีบบังคับผู้อ่านเป็นอย่างมาก ซึ่งมันก็เหมือนกับ Spam อีเมลนั่นแหละ โดย Splogs จะมีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งคือ จะชอบใช้อักษรตัวหนา ใช้คำที่มีการเรียกร้อง ชักจูงใจอย่างรุนแรง ซึ่งเว็บไซต์ที่เป็นสมาชิกใน Splogs นั้นจะมีการส่งลิงค์ของเว็บไซต์สมาชิก ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีเนื้อหาในทำนองเดียวกัน ไปหาผู้ใช้อินเตอร์เน็ตคนอื่น ๆ
11.  TopicalBlogs จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างความเป็นเอกลักษณ์ มีกลุ่มคนที่ชื่นชอบแบบเดียวกันเฉพาะกลุ่ม จะต้องบริหารความต้องการของ Bloggers ว่าใครที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์กับบล็อกของเรา และยังต้องบริหารความสัมพันธ์กับผู้อ่านที่ต้องการเข้ามาค้นหาข้อมูลที่เขาสนใจ ให้ได้ข้อมูลอย่างตรงประเด็น
LocalBlog หรือ Blog ท้องถิ่นนั้น ก็เป็นหนึ่งใน TopicalBlog ด้วยเช่นกันซึ่งคนท้องถิ่นในแต่ละที่ก็จะมีเหตุการณ์ที่เป็นที่สนใจให้พูดถึงแตกต่างกันออกไป
12.  Vlog หรือ VideoBlog จะประกอบไปด้วยเนื้อหาทางด้านวิดีโอ ขึ้นไปโพสต์ติดเอาไว้เป็นหลัก เช่น http://video.google.com
13.  TravelBlogs เป็นหนึ่งในชนิดของบล็อกที่ได้รับความนิยมสูงมาก ๆ เพราะผู้คนส่วนใหญ่ชื่นชอบที่จะแบ่งปันประสบการณ์ เรื่องราวในวันหยุดลาพักร้อนที่ได้ไปเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ และรูปภาพกับเพื่อนๆ ครอบครัว และคนในชุมชนเว็บไซต์เดียวกัน อีกทั้งยังเป็นช่องทางที่เยี่ยมยอดที่จะทำให้นักท่องเที่ยวยังได้สัมผัสกับผู้คนที่อยู่ที่นั่น หลังกลับมายังบ้านของตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อเป็นการท่องเที่ยวเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ให้กับชีวิต

วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

เทคนิคฝึกสมองให้ฉลาดอยู่เสมอ

สมองคือส่วนสำคัญที่สุดของคนในการคิด ฝึกหัด กลั่นกรองข้อมูลข่าวสารเรื่องราวต่างๆ หากสมองขาดการคิดและการกระตุ้น ก็ไม่ต่างอะไรกับซอมบี้ และหากขาดการใช้งานบ่อยๆ เซลล์ต่างๆ ที่สำคัญที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความสามารถ ประสิทธิภาพด้านต่างๆ ก็จะดูด่อยค่าลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น คนเราจึงจำเป็นต้องบริหารสมองอยู่เสมอ การฝึกสมองมีหลายเทคนิคให้เลือกใช้ แต่จงใช้อย่างมีประสิทธิภาพให้มากที่สุด วันนี้จะมาเขียนเรื่องราวของ ทำอย่างไรให้สมองเราสามารถใช้งานได้ดี และมีเทคนิคการฝึกสมองอย่างไร ให้เราเป็นคนฉลาดอยู่เสมอ

จิบน้ำบ่อยๆ (Drink water very often) สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมอง ก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ

กินไขมันดี (Enjoy good Omega 3) คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

นั่งสมาธิวันละ 12 นาที (Meditation 12 min a day) หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการ เห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention) การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ (Laugh and Smile) ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อย ๆ

เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday) สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และ สร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress) ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things in life every day) ฝึก เขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มี ครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

ฝึกหายใจลึกๆ (Deep breath) สมองใช้ออกซิเจน 20 .25% ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 % การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่ เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : beauty.vwander.com

สมอง


สมอง 

สมอง เป็นอวัยวะที่มีการเสื่อมเร็วมากที่สุดอันหนึ่งของร่างกาย เมื่อเรา เกิดขึ้นมา จนถึงอายุเพียงไม่กี่ปี ภายหลังคลอด ช่วงนี้สมองจะมีการพัฒนาอย่าง ต่อเนื่อง หลังจากนั้น ก็นับเป็นการเริ่มต้นของการเสื่อม อย่างเป็นทางการ แต่ เป็นการเสื่อมที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า เหมือนอย่างเช่นผิวหนัง เป็นการเสื่อม
ภายใน ที่หากไม่ประเมินให้ดีแล้วก็ไม่อาจทราบได้ว่า มีการเสื่อมของสมองเกิดขึ้น แล้ว ลองหลับตานึกถึงผู้ใหญ่หลายท่าน หรือ นักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ที่สามารถลบริ้ว รอยแห่งกาลเวลาที่มองเห็นภายนอกไปได้ ด้วยการฉีดยาเข้าที่ใบหน้าบ้าง ใส่ วิกปลอมบ้าง ผ่าตัดเสริมความงามให้เต่งตึงบ้าง สวมเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ปกปิดส่วน บกพร่องของร่างกาย แต่เมื่อมีการปฏิสันถารด้วยวาจา ผู้คนรอบข้างจะพบความจริงที่ถูกซ่อนเร้น คือ การทำงานของสมองที่ไม่ดีเหมือนเมื่ออายุยังน้อย เป็นต้น ว่า เริ่มมีการพูดลักษณะที่ฝรั่งเรียกว่า “tip-of-tongue” ทำนองว่า รู้เรื่องนั้นดี แต่ ทำไมมันติดอยู่ที่ปาก พูดออกมาไม่ได้ในทันที ความสามารถในการจำสิ่งใหม่ๆลดลง ประสิทธิภาพในการตัดสินใจลดลง ความสามารถในการคำนวณลดลง หรือ แม้แต่บางครั้งก็จำไม่ได้ว่า เมื่อสักครู่ก่อนเดินเข้าห้างสรรพสินค้า เราจอดรถไว้ที่ ชั้นใด ช่องจอดอะไร เป็นต้น



กิจวัตรประจำวัน ที่ควรและไม่ควรทำเพื่อชะลอวัยสมอง

  การออกงานสังคม หรือ พบปะพูดคุยกับผู้คน ถือเป็นการออกกำลังในส่วนของสมองที่ดีมากอย่างหนึ่ง ทั้งนี้สมองก็เหมือนกล้ามเนื้อที่จำเป็น ต้องมีการใช้งาน หรือ ออกกำลังเพื่อคงประสิทธิภาพการทำงานไว้อย่างต่อเนื่อง การแก้ปัญหา เช่น การต่อจิ๊กซอว์ การขบคิดปริศนา หรือ กิจกรรมใดๆ ที่มีการกระตุ้นให้เกิดกระบวนการคิดเพื่อแก้ปัญหา การทำงาน ให้คำปรึกษาในการแก้ปัญหาต่างๆเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความทรงจำของ สมองได้มาก


การออกกำลังกาย โดยเฉพาะการออกกำลังกาย ชนิดแอโรบิก

  เป็นต้นว่า การเดินเร็วๆ การวิ่งเหยาะๆ เป็นระยะทางพอสมควร การว่ายน้ำ จะช่วยเพิ่มปริมาณเลือด ที่ไปเลี้ยงสมองอย่างเป็นธรรมชาติ และ ยังเป็นผลทางอ้อมให้มีการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทมากขึ้น เหมือนเมื่อเรายังหนุ่มสาวอยู่ วงจรของระบบประสาทที่มีการเชื่อมต่อกันอย่างดี จะทำให้ระบบความคิด ความทรงจำ กลับมาทำงานได้ดี โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งยาใดๆ ความรู้ข้อนี้ ได้รับการวิจัย และ ศึกษาอย่างเป็นระบบ และ ได้รับคำตอบยืนยันตรงกันว่า ผู้ที่ออกกำลังกายจนแข็งแรงตามวัย จะมีสมองที่เฉียบคมอยู่เสมอ และ ผู้ที่เคยมีปัญหาเรื่อง น้ำหนัก เมื่อกลับมาควบคุมน้ำหนัก ด้วยการออกกำลังกาย จทำให้สมองกลับมาทำงานได้ดีขึ้น


ให้อาหารสมองอย่างถูกต้อง และ พอเพียง

  การกินอาหาร ที่มีสารแอนติออกซิแดนท์ ซึ่งพบได้ในผลไม้ และ ผักหลากสีนั้น นอกจากจะช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ ซึ่งมีผลต่อการต่อต้านโรคมะเร็งแล้วยังมีผลดีต่อสมองอีกด้วย การเร่งความเร็วด้วยการฝึกสมอง เช่น Brain FitnessProgram ซึ่งมักประกอบด้วยโปรแกรมการฝึกภาษา และ การได้ยิน โปรแกรม
เหล่านี้ ได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถทำให้สมองกลับมาทำงานได้ดีขึ้น แม้อายุร่างกาย การเสื่อมของสมอง
จะมากขึ้นแล้ว บริษัท นินเทนโด ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นบริษัทเกมชื่อดัง ได้ ออกแบบเกมสำหรับพกพาเรียกว่า “Brain Age” เราจะเห็นคนจำนวนมากในญี่ปุ่นใช้เวลาระหว่างนั่งรถไฟ หรือ รอรถเมล์ ด้วยการเล่นเกมฝึกสมองเหล่านี้ ซึ่งเชื่อกัน ว่า เกมเหล่านี้ เป็นเสมือนเลนส์ ที่รวมแสง หรือ สมาธิของคนเราให้มาจดจ่อกับ สิ่งที่อยู่ตรงหน้า และ ทำให้สมองเกิดการเรียนรู้ (learning mode) และ ซ่อมแซมวงจรประสาทของตนเอง ให้สงบเพื่อผ่อนคลาย แม้ว่าการกระตุ้นการทำงานของสมองด้วยกิจกรรมบางอย่าง จะมี ความสำคัญในการชะลอวัยสมอง แต่ การผ่อนคลาย เมื่อมีโอกาสอันควร ก็มีความสำคัญไม่ต่างกัน เราควรหาเวลาหยุดพักในการคิดทุกเรื่องในบางช่วงเวลาของชีวิต หายใจเข้า – ออก ยาวๆลึกๆ ทำจิตให้สงบ และผ่อนคลาย ในช่วงระยะเวลาที่เราเครียดจากการทำงาน ความเครียดจากการทำงานไม่ดีต่อเซลล์สมองเลย ความเครียดเหล่านี้ จะทำลายกระบวนการเรียนรู้ และ ความจำของคนเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งสมองส่วนที่เรียกว่า hippocampus ซึ่งมีหน้าที่ในการกระตุ้นให้เกิดความทรงจำตามมา

การหาความสงบเพื่อผ่อนคลาย หาได้จากการออกกำลัง หรือ การเล่น โยคะ

  หากท่านนับถือศาสนาพุทธ การทำสมาธิ (meditation) ก็เป็นวิธีเพื่อให้ได้มาซึ่งความสงบและผ่อนคลายที่ดีมาก จากผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์ วาร์ด พบว่า นักศึกษาที่อดนอน จะสูญเสียความสามารถในการแก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ไปอย่างมาก เมื่อเทียบกับกลุ่มที่พักผ่อนพอเพียง

การหัวเราะ... การหัวเราะไปกระตุ้นให้มีการหลั่งสารเคมีในสมองที่เรียกว่า โดพามีน (dopamine) ซึ่งเชื่อกันว่า สารเคมีตัวนี้ เป็นสารเคมีที่ทำให้เรารู้สึกสบาย และ ผ่อนคลาย (feel good chemical) มองโลกในแง่ดี จะช่วยลดความเครียด ที่มาเกาะกินสมอง และ ในขณะเดียวกันก็ทำให้เรามีความรู้สึกสงบได้ง่าย

การดูทีวี เป็นกิจกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง ความเข้าใจที่ว่า การดูทีวีจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองเป็นความเข้าใจผิดๆ โดยเฉพาะรายการที่ไร้สาระรายการที่มิได้ช่วยกระตุ้นการคิด แท้ที่จริงแล้ว การนั่งอยู่หน้าจอทีวีเป็นเวลานานๆ ในการดูรายการที่ไร้สาระ รายการที่มิได้ช่วยกระตุ้นการคิด จะทำให้สมองทึบ
ยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ต่างกับการดื่มแอลกอฮอล์ หรือ การติดยากล่อมประสาท ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า การนั่งเฝ้าหน้าจอทีวี ที่ดูแต่รายการที่ไร้สาระ รายการที่มิได้ช่วยกระตุ้นการคิด จะทำให้สมองเสื่อมเร็วขึ้น คือ ผู้สูงอายุในสังคมตะวันตก ซึ่งมักอยู่ตามลำพังเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้ต้องหันหน้าเข้าหาทีวี เฝ้าดูแต่ รายการที่ไร้สาระรายการที่มิได้ช่วยกระตุ้นการคิด เราจะพบว่า ผู้สูงอายุเหล่านี้มีการเสื่อมของสมอง
เร็วกว่ากลุ่มที่มี กิจกรรมพบปะสังสรรค์ พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่าง ต่อเนื่องค่อนข้างมาก